คนที่เคยรู้รสชาติความขมขื่นของชีวิตเพราะความไม่ประสีประสากับเรื่องเงินๆทองๆมาแล้วอย่างผม หรืออีกหลายๆคน ย่อมรับทราบเป็นอย่างดีถึงความโหดร้ายของการไม่มีเงินกันทั้งนั้น
สำหรับคนที่เคยยากลำบากเพราะเงิน รู้ดีว่า เมื่อถึงจุดนั้น เงินจะเข้ามาควบคุมชีวิตของเราอย่างไร แต่หากเรามีความมุ่งมั่นเดินไปในเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงเพื่อพลิกชีวิต ในที่สุดปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิตก็จะทำให้เราสามารถที่จะกลับมาเป็นฝ่ายชนะ สามารถที่จะควบคุม และให้เงินทำงานแทนเราได้สำเร็จ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่เคยมีบทเรียน โดยเฉพาะบรรดาเด็กหนุ่มๆคนรุ่นใหม่ไฟแรง ประเภทกุมารทองร้อนวิชายิ่งบรรดาคนที่พอจะมี “แบ็คอัพ” ทางการเงินจากทางบ้านทั้งหลาย ส่วนใหญ่มักจะอยากโต หรือ รวยทางลัด พร้อมที่จะกระโจน หรือพุ่งเข้าใส่โดยปราศจากความกลัว และความลังเลใดๆ
คนเหล่านี้ หากภูมิต้านทานทางอารมณ์ไม่เพียงพอ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด หลายคนก็อาจจะตกอยู่ในสภาพตื่นตระหนก สับสน จนงงเป็น “ไก่ตาแตก” หาทางออกไม่เจอ และอาจจะยิ่งพลาดพาตัวเองถลำลึงลงไปสู่หุบเหวแห่งหนี้สินเอาได้ง่ายๆ
เชื่อหรือไม่ หากผมจะบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริงในการลงทุนทั้งในหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีจิตวิญญาณเป็น “นักพนัน” หรือ“นักเก็งกำไร” อย่างที่คุณเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์สักคน เพราะหัวใจของการลงทุน คือ “การควบคุมความเสี่ยง” คนที่คิดถึงด้านลบของการลงทุน และ ตระหนักในเรื่องของ “ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” ต่างหากที่มักจะประสบผลสำเร็จ
บรรดาเศรษฐีทั้งหลายกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ทุกคนล้วนแต่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมาแล้วไม่มากก็น้อย แต่การเสี่ยงของพวกเขาไม่ได้เป็นเรื่องของการ ”เสี่ยงโชค” ที่บรรดาผู้หวังรวยทางลัดนิยมทำกัน แต่ต้องมาจากการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดในทุกๆด้าน
ถึงแม้จะศึกษามาอย่างละเอียด หลายครั้งก็มีโอกาสพลาด แต่ วอร์เรน บัฟเฟต์ สุดยอดเกจิ หรือ กูรูหุ้นชั้นเซียน ก็เคยแนะนำเอาไว้ว่า ถ้าคุณเป็นคน“หัวใจมด” ทนเห็นหุ้นที่ถืออยู่มีราคาตกลงมามากกว่าครึ่งไม่ไหว ก็ไม่ควรจะเล่นหุ้น
ต่างกับคนไม่ประสบความสำเร็จที่เรามักจะเห็นอย่างดาษดื่นตาม “ห้องค้าหุ้น” โดยทั่วไป คนเหล่านี้มักจะ “หูเบา” เลือกชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินเสมอ ทำให้มักจะตัดสินใจในจังหวะ และ โอกาสที่ผิดพลาด
เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นแบบนี้ ซึ่งระดับราคาของทั้งหุ้น และ อสังหาริมทรัพย์ กำลังถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอันตรายไม่น้อย เพราะหากพลาดเพียงครั้งเดียว คุณอาจเสีย หรือพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
ในอดีตมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทนกลิ่นเย้ายวนจาก การเก็งกำไรไม่ไหว และชีวิตต้องพังพินาศลงไป เนื่องจาก “ความไม่รู้” แต่มีความโลภ จนเต้นไปตาม “แรงเชียร์” ทั้งๆที่เมื่อถึงนาทีแห่งความสูญเสียผู้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีส่วนมาแชร์ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเลย
ในภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างเด่นชัดอย่างในเวลานี้ คำถามที่ผมมักจะได้รับอยู่เป็นประจำหนีไม่พ้นว่า ควรลงทุนอะไรดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หุ้น ทองคำ หรือ แม้แต่อสังหาริมทรัพย์ ที่ เป็นคำถามยอดฮิต เพราะทุกคนต่างมีความรู้สึกคล้ายๆกันว่าไม่อยากตกขบวนรถไฟ
ผมไม่อยากจะบอกว่า โอกาสทองในการลงทุนนั้นหลุดลอยไปตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ ก็ยังไม่ถึงกับหมดโอกาสไปเสียทีเดียว เพราะตามปกติในหนึ่งปีนั้น มักจะมีโอกาสดีๆเข้ามาอย่างน้อย 1-2 ครั้งเสมอ
หากคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ก็ลองคิดในใจว่า “เสียโอกาส ยังดีกว่า เสียเงิน”ซึ่งหากคุณมีการปรับแผนการลงทุนเพี่อเตรียมพร้อม และรอคอยจังหวะที่เหมาะสม โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงๆก็ยังพอมีความเป็นไปได้
สิ่งที่คุณควรเตรียมความพร้อมในเวลานี้คือ ลองกลับไปพิจารณา “พอร์ตการลงทุน”ตรงหน้าของคุณอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมหรือยัง สมควรที่จะมีการลดน้ำหนักในการลงทุนบางประเภทลงหรือไม่ ลองพิจารณาดูว่า มีการลงทุนประเภทใดบ้างที่สามารถทำกำไรให้กับคุณได้จนน่าพอใจแล้ว และพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อนำเงินไปลงทุนในทางเลือกอื่นๆ ได้ทันทีที่โอกาสเปิดกว้างขึ้น
สำคัญที่สุด คุณต้องมั่นใจว่า ก่อนจะลงทุนในทรัพย์สินใดๆ คุณได้ศึกษาและสามารถตอบคำถามกับตัวเองได้ว่า ทำไมถึงต้องซื้อหรือลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้นๆ
เชื่อผมเถอะครับ โอกาสที่จะคว้ามานั้นมักจะตกกับ “ผู้รู้” และผู้ที่เตรียมพร้อมที่สุด มันจึงเป็นเรื่องที่ยังไม่สายเกินไปหรอกครับที่จะเริ่มศึกษา หาความรู้ ในเรื่องที่เรา “ไม่รู้” ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง แทนที่จะไปเชื่อคนอื่นที่คอยส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างสนาม
ยิ่งไปกว่านั้น อย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า จะ “เสี่ยง“ ทุ่มแบบหมดหน้าตักถึงขนาด กู้หนี้ยืมสินมาลงทุนเพื่อเก็งกำไรในหุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์
ในเวลาเดียวกันคุณจะต้องลองคิดถึงด้านลบประเมินความเสี่ยงของการลงทุนเอาไว้ด้วย
หากคุณไม่แน่ใจในเรื่องของความเสี่ยง ก็อย่าตั้งเป้าหมายเอาไว้จนสูงเกินไป โดยคุณอาจจะทดลองเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย และเตรียมใจที่จะรับความผิดพลาด เพื่อให้เป็นบทเรียนในอนาคตสำหรับคุณ
ทั้งหมด คือ เคล็ดลับในการลงทุนสำหรับทุกคนที่ผมอยากจะฝากไว้ ซึ่งสามารถจะประมวลเป็น คัมภีร์ อย่า... 5 ประการ คือ
อย่า ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ หรือ ไม่เข้าใจ
อย่า ลงทุน โดยเชื่อสื่อฯ เชื่อคนอื่น หรือ เชื่อแรงเชียร์
อย่า ทุ่มเงิน หรือ ยอมกู้เงิน เพื่อเอาเงินมาเล่นหุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ เพียงอย่างเดียว
อย่า ตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงจนเกินไป
อย่า กลัวความผิดพลาดจนเกินไป
บางครั้ง คุณอาจจะไม่รู้สึกตัว หรือ มองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป แต่จากประสบการณ์ในการลงทุนที่คุณอาจจะล้มเหลวมาก่อนหน้านี้ มันมักจะมีหลายๆคำตอบให้คุณได้ลองไปค้นหา
ทั้งหมดคุณเพียงแต่ต้องตั้ง “สติ” และ ตั้งปณิธานในใจไว้ว่า ความล้มเหลวเหล่านั้นมันน่าจะมาถึงจุดที่เพียงพอแล้ว ก้าวย่างจากนี้ไปคือ คุณต้องเดินไปอย่างรอบคอบสุขุมมากขึ้นเท่านั้นเอง
สำหรับคนที่เคยยากลำบากเพราะเงิน รู้ดีว่า เมื่อถึงจุดนั้น เงินจะเข้ามาควบคุมชีวิตของเราอย่างไร แต่หากเรามีความมุ่งมั่นเดินไปในเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงเพื่อพลิกชีวิต ในที่สุดปฏิบัติการเพื่อพลิกชีวิตก็จะทำให้เราสามารถที่จะกลับมาเป็นฝ่ายชนะ สามารถที่จะควบคุม และให้เงินทำงานแทนเราได้สำเร็จ
ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่เคยมีบทเรียน โดยเฉพาะบรรดาเด็กหนุ่มๆคนรุ่นใหม่ไฟแรง ประเภทกุมารทองร้อนวิชายิ่งบรรดาคนที่พอจะมี “แบ็คอัพ” ทางการเงินจากทางบ้านทั้งหลาย ส่วนใหญ่มักจะอยากโต หรือ รวยทางลัด พร้อมที่จะกระโจน หรือพุ่งเข้าใส่โดยปราศจากความกลัว และความลังเลใดๆ
คนเหล่านี้ หากภูมิต้านทานทางอารมณ์ไม่เพียงพอ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด หลายคนก็อาจจะตกอยู่ในสภาพตื่นตระหนก สับสน จนงงเป็น “ไก่ตาแตก” หาทางออกไม่เจอ และอาจจะยิ่งพลาดพาตัวเองถลำลึงลงไปสู่หุบเหวแห่งหนี้สินเอาได้ง่ายๆ
เชื่อหรือไม่ หากผมจะบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริงในการลงทุนทั้งในหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีจิตวิญญาณเป็น “นักพนัน” หรือ“นักเก็งกำไร” อย่างที่คุณเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์สักคน เพราะหัวใจของการลงทุน คือ “การควบคุมความเสี่ยง” คนที่คิดถึงด้านลบของการลงทุน และ ตระหนักในเรื่องของ “ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” ต่างหากที่มักจะประสบผลสำเร็จ
บรรดาเศรษฐีทั้งหลายกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ทุกคนล้วนแต่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมาแล้วไม่มากก็น้อย แต่การเสี่ยงของพวกเขาไม่ได้เป็นเรื่องของการ ”เสี่ยงโชค” ที่บรรดาผู้หวังรวยทางลัดนิยมทำกัน แต่ต้องมาจากการพินิจพิจารณาอย่างละเอียดในทุกๆด้าน
ถึงแม้จะศึกษามาอย่างละเอียด หลายครั้งก็มีโอกาสพลาด แต่ วอร์เรน บัฟเฟต์ สุดยอดเกจิ หรือ กูรูหุ้นชั้นเซียน ก็เคยแนะนำเอาไว้ว่า ถ้าคุณเป็นคน“หัวใจมด” ทนเห็นหุ้นที่ถืออยู่มีราคาตกลงมามากกว่าครึ่งไม่ไหว ก็ไม่ควรจะเล่นหุ้น
ต่างกับคนไม่ประสบความสำเร็จที่เรามักจะเห็นอย่างดาษดื่นตาม “ห้องค้าหุ้น” โดยทั่วไป คนเหล่านี้มักจะ “หูเบา” เลือกชื่อในสิ่งที่ตนได้ยินเสมอ ทำให้มักจะตัดสินใจในจังหวะ และ โอกาสที่ผิดพลาด
เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นแบบนี้ ซึ่งระดับราคาของทั้งหุ้น และ อสังหาริมทรัพย์ กำลังถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอันตรายไม่น้อย เพราะหากพลาดเพียงครั้งเดียว คุณอาจเสีย หรือพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
ในอดีตมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทนกลิ่นเย้ายวนจาก การเก็งกำไรไม่ไหว และชีวิตต้องพังพินาศลงไป เนื่องจาก “ความไม่รู้” แต่มีความโลภ จนเต้นไปตาม “แรงเชียร์” ทั้งๆที่เมื่อถึงนาทีแห่งความสูญเสียผู้คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีส่วนมาแชร์ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเลย
ในภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างเด่นชัดอย่างในเวลานี้ คำถามที่ผมมักจะได้รับอยู่เป็นประจำหนีไม่พ้นว่า ควรลงทุนอะไรดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หุ้น ทองคำ หรือ แม้แต่อสังหาริมทรัพย์ ที่ เป็นคำถามยอดฮิต เพราะทุกคนต่างมีความรู้สึกคล้ายๆกันว่าไม่อยากตกขบวนรถไฟ
ผมไม่อยากจะบอกว่า โอกาสทองในการลงทุนนั้นหลุดลอยไปตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ ก็ยังไม่ถึงกับหมดโอกาสไปเสียทีเดียว เพราะตามปกติในหนึ่งปีนั้น มักจะมีโอกาสดีๆเข้ามาอย่างน้อย 1-2 ครั้งเสมอ
หากคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี ก็ลองคิดในใจว่า “เสียโอกาส ยังดีกว่า เสียเงิน”ซึ่งหากคุณมีการปรับแผนการลงทุนเพี่อเตรียมพร้อม และรอคอยจังหวะที่เหมาะสม โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงๆก็ยังพอมีความเป็นไปได้
สิ่งที่คุณควรเตรียมความพร้อมในเวลานี้คือ ลองกลับไปพิจารณา “พอร์ตการลงทุน”ตรงหน้าของคุณอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมหรือยัง สมควรที่จะมีการลดน้ำหนักในการลงทุนบางประเภทลงหรือไม่ ลองพิจารณาดูว่า มีการลงทุนประเภทใดบ้างที่สามารถทำกำไรให้กับคุณได้จนน่าพอใจแล้ว และพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อนำเงินไปลงทุนในทางเลือกอื่นๆ ได้ทันทีที่โอกาสเปิดกว้างขึ้น
สำคัญที่สุด คุณต้องมั่นใจว่า ก่อนจะลงทุนในทรัพย์สินใดๆ คุณได้ศึกษาและสามารถตอบคำถามกับตัวเองได้ว่า ทำไมถึงต้องซื้อหรือลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนั้นๆ
เชื่อผมเถอะครับ โอกาสที่จะคว้ามานั้นมักจะตกกับ “ผู้รู้” และผู้ที่เตรียมพร้อมที่สุด มันจึงเป็นเรื่องที่ยังไม่สายเกินไปหรอกครับที่จะเริ่มศึกษา หาความรู้ ในเรื่องที่เรา “ไม่รู้” ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนด้วยตัวเอง แทนที่จะไปเชื่อคนอื่นที่คอยส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างสนาม
ยิ่งไปกว่านั้น อย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า จะ “เสี่ยง“ ทุ่มแบบหมดหน้าตักถึงขนาด กู้หนี้ยืมสินมาลงทุนเพื่อเก็งกำไรในหุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์
ในเวลาเดียวกันคุณจะต้องลองคิดถึงด้านลบประเมินความเสี่ยงของการลงทุนเอาไว้ด้วย
หากคุณไม่แน่ใจในเรื่องของความเสี่ยง ก็อย่าตั้งเป้าหมายเอาไว้จนสูงเกินไป โดยคุณอาจจะทดลองเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย และเตรียมใจที่จะรับความผิดพลาด เพื่อให้เป็นบทเรียนในอนาคตสำหรับคุณ
ทั้งหมด คือ เคล็ดลับในการลงทุนสำหรับทุกคนที่ผมอยากจะฝากไว้ ซึ่งสามารถจะประมวลเป็น คัมภีร์ อย่า... 5 ประการ คือ
อย่า ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ หรือ ไม่เข้าใจ
อย่า ลงทุน โดยเชื่อสื่อฯ เชื่อคนอื่น หรือ เชื่อแรงเชียร์
อย่า ทุ่มเงิน หรือ ยอมกู้เงิน เพื่อเอาเงินมาเล่นหุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ เพียงอย่างเดียว
อย่า ตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงจนเกินไป
อย่า กลัวความผิดพลาดจนเกินไป
บางครั้ง คุณอาจจะไม่รู้สึกตัว หรือ มองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป แต่จากประสบการณ์ในการลงทุนที่คุณอาจจะล้มเหลวมาก่อนหน้านี้ มันมักจะมีหลายๆคำตอบให้คุณได้ลองไปค้นหา
ทั้งหมดคุณเพียงแต่ต้องตั้ง “สติ” และ ตั้งปณิธานในใจไว้ว่า ความล้มเหลวเหล่านั้นมันน่าจะมาถึงจุดที่เพียงพอแล้ว ก้าวย่างจากนี้ไปคือ คุณต้องเดินไปอย่างรอบคอบสุขุมมากขึ้นเท่านั้นเอง