“อลงกรณ์” เตือนรัฐบาลเตรียมแผนรับมือหากพม่าซ่อมแหล่งก๊าซจริง หวั่นไฟดับช่วงเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นเดือนที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด พร้อมแนะ “รมว.พลังงาน” เร่งทำแผนรับมือทันที “รสนา” แนะ 4 แนวทางแก้วิกฤตพลังงาน หลัง “พงษ์ศักดิ์” ยอมรับ เม.ย.ไฟฟ้าอาจขาดแคลน พร้อมแนะให้ปรับระบบการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ประเทศพม่าจะมีการหยุดซ่อมประจำปีของแหล่งก๊าซยาดานา-เยตากุล ส่งผลให้เป็นสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินทางด้านไฟฟ้าที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศทางด้านพลังงาน ที่จะทำให้ประเทศไทยขาดก๊าซในการผลิตไฟฟ้าจำนวน 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ประเทศไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุด โดยเฉพาะในวันที่ 4 เมษายน คาดหมายว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดถึง 26,500 เมกะวัตต์ และจะทำให้ไฟสำรองของประเทศเหลือเพียง 2% หรือ 500-600 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ หากเกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าโรงหนึ่งโรงใดเกิดปัญหาจะมีผลทำให้ไฟดับทั้งประเทศได้ และการที่นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ออกมาแจ้งว่าจะประกาศภาวะฉุกเฉินไฟฟ้า ซึ่งมาตรการแผนดังกล่าวและแนวทางการรับมือยังไม่มีความชัดเจน ตนขอเรียกร้อง รมว.พลังงานให้เร่งทำแผนปฎิบัติการฉุกเฉิน โดยเริ่มแผนตั้งแต่สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนเมษายน เพราะสถานการณ์มีผลกระทบทั่วประเทศ ส่วนการซ้อมในวันที่ 13 มีนาคมคงไม่เพียงพอ ต้องมีการซ้อมหลายครั้งและขอความร่วมมือไปยังภาคเอกชน ครัวเรือน เพื่อให้รณรงค์ เตรียมความพร้อมรับมือร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน โดยให้มีการเริ่มดำเนินการในปลายเดือนนี้เลย
นายอลงกรณ์กล่าวอีกว่า รมว.พลังงานจะต้องเป็นผู้เจรจากับรัฐบาลพม่าด้วยตัวเอง ไม่ใช่มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ระดับอธิบดีไปเจรจาขอความร่วมมือจาก บ.โทเทล ที่ดูแลเรื่องแหล่งก๊าซในการเลื่อนการซ่อมจากวันที่ 4 เม.ย.เป็นวันที่ 6 เม.ย. รมว.พลังงานจะต้องต่อสายตรงไปถึง รมว.พลังงานพม่า และต้องเดินทางไปที่เนปิดอว์ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็จะต้องต่อสายตรงไปยัง พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า เพื่อให้เลื่อนการซ่อมประจำปีออกไป 2-3 วัน และจะต้องเสนอแผนสนับสนุน โดยส่งทีมไทยแลนด์เข้าไปช่วยเรื่องการซ่อม เพราะพม่าเองก็ซ่อมทุกปีในช่วงเวลานี้
นอกจากนี้ขอให้เริ่มแผนเพิ่มกำลังสำรองไฟฟ้าโดยการเดินเครื่องซ่อมโรงไฟฟ้าที่ปิดใช้ให้กลับมาใช้ใหม่เพื่อสำรองเชื้อเพลิงทางเลือก
ทั้งนี้ก็มีความกังวลและห่วงใยที่รัฐบาลจะปล่อยให้กำลังสำรองไฟฟ้าเหลือเพียง 2% จึงอยากให้รัฐบาลกระตือรือร้นในการประสานกับประเทศพม่าทันทีโดยดูประสบการณ์การรับมือในปี 2551-2555 แล้วนำมาแก้ไขปัญหา
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กทม. ได้เขียนข้อความบนเว็บไซต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นที่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ระบุว่าการผลิตไฟฟ้าจะเกิดวิกฤตในเดือน เม.ย.เนื่องจากก๊าซในระบบจะขาดหายไปเพราะพม่าปิดซ่อมท่อก๊าซ และอุบัติเหตุท่อก๊าซไทย-มาเลเซียขาดจากการโดนสมอเรือทำให้ต้องปิดซ่อม
น.ส.รสนากล่าวว่า หลังจากอ่านข่าวดังกล่าวแล้วมีข้อเสนอดังนี้
1) รมต.พลังงาน หรือ ปตท.ที่เป็นคู่ค้ากับพม่าควรเจรจาให้พม่ากำหนดเวลาปิดซ่อมท่อก๊าซในช่วงเดือนที่ความต้องการไฟฟ้าไม่สูงมาก เช่น เดือน ก.พ หรือ เดือน มี.ค. ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถวางแผนได้
2) กระทรวงพลังงานควรปรับปรุงระบบการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่เรียกว่า Feed in Tariff ที่เรารับรูปแบบต่างประเทศมาใช้ แต่รับมาไม่หมด ทั้งนี้ต่างประเทศจะกำหนดการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนก่อนพลังงานจากเชื้อเพลิงชนิดอื่น และรับไม่อั้น ราคารับซื้อต่อหน่วยจะลดลงทุกปี เพื่อบีบให้ผู้ผลิตต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนลดลงเรื่อยๆ
แต่กระทรวงพลังงานรับซื้อพลังงานหมุนเวียนเป็นโควตา แม้ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนจะสามารถผลิตได้มากขึ้นก็ไม่รับซื้อ อ้างว่าการจ่าย adder 6.50 บาทให้กับพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นภาระค่าไฟ ทำให้การผลิตไฟฟ้าของประเทศต้องพึ่งพลังงานจากก๊าซธรรมชาติถึง 80% แล้วก็มักมีปัญหาจากก๊าซขาดเพราะปัญหาทางเทคนิค หรือปริมาณที่คาดการณ์ว่าจะน้อยลง แต่ก็ไม่สนใจพัฒนาพลังงานหมุนเวียนมาแทนที่ ยังทู่ซี้จะใช้ก๊าซธรรมชาติต่อไป
ตอนนี้ก็มีข่าวจะเปิดประมูลโรงไฟฟ้า IPP ขนาด 5,400 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติอีกแล้ว กำลังเร่งรีบจะประมูลกันในเดือนมิถุนายน 2556
3) การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้หลังคาบ้านติดแผงโซลาร์เซลล์ มีการส่งเสริมอย่างเป็นจริงเป็นจังในมาเลเซีย อิตาลี และเยอรมนี ยกเว้นประเทศไทย ทั้งที่ควรส่งเสริมก่อนที่จะส่งเสริมการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์จาก Solar Farm เพราะลงทุนสูงกว่ามาก แต่กระทรวงพลังงานส่งเสริมการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ด้วย Solar Farm ถึง 99.9%
การส่งเสริมการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านเป็นวิธีที่ง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ต้องไปสร้างสายส่งไฟฟ้าใหม่ และจะเป็นมิติใหม่ที่เปลี่ยนโฉมหน้าประชาชนจากการเป็นเพียงผู้บริโภคพลังงาน ให้เป็นผู้ผลิตพลังงานด้วย
กระทรวงพลังงานควรให้แรงจูงใจเพื่อให้คนอยากลงทุนติดแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ตั้งแต่การรับซื้อพลังงานที่ผลิตได้จากครัวเรือนเหมือนรับซื้อจากโซลาร์ฟาร์ม คือ 6.50 บาทต่อหน่วย แต่ใช้ในราคา 3 บาทต่อหน่วย และสนับสนุนแผงโซลาร์เซลล์ในราคาถูกเพื่อจูงใจให้ครัวเรือนอยากลงทุน
กระทรวงพลังงานยังยอมเอาเงินจากกองทุนน้ำมันไปให้แท็กซี่เปลี่ยนถังก๊าซเป็น NGV กระทรวงพลังงานยังให้แรงจูงใจกับโรงกลั่นที่ขายน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้คนไทยในราคานำเข้าจากสิงคโปร์ ทั้งที่โรงกลั่นเวลานี้ส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 4 ของประเทศ ด้วยมูลค่า 3.98 แสนล้านบาทในปี 2555 ในขณะที่ข้าวส่งออกแค่ 1.42 แสนล้านบาท แต่เราก็ยังทู่ซี่ให้แรงจูงใจโรงกลั่นน้ำมันอย่างไม่ยอมเลิก ก็ควรส่งเสริมประชาชนคนเล็กคนน้อยบ้างเพื่อให้มีส่วนร่วมในการผลิตพลังงาน จะได้ไม่รอเป็นเพียงผู้บริโภคพลังงานเท่านั้น
4) กระทรวงพลังงานควรเปลี่ยนทัศนคติเรื่องรณรงค์ให้คนประหยัดพลังงานที่ใช้แต่งบจัดอีเวนต์ ให้เป็นเรื่องจริงจังว่าการประหยัดเป็นเรื่องที่ต้องลงทุน และส่งเสริม โดยมีแรงจูงใจ และมีการวัดผลด้วย ไม่ควรเป็นแค่การรณรงค์สร้างจิตสำนึกเท่านั้นซึ่งได้ผลน้อย
เมื่ออาทิตย์ก่อนอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ในกรรมาธิการตรวจสอบทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาลวุฒิสภาจัดสัมนาเรื่องปฏิรูปนโยบายพลังงาน ประสบการณ์ของไทยและเยอรมนี สมาชิกสภาผู้แทนฯ จากพรรคกรีนของเยอรมนี มาเล่าประสบการณ์ความก้าวหน้าของการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนว่า ในปี 2000 เมื่อเริ่มส่งเสริมมีการจ้างงาน 30,000 คน 10 ปีต่อมาในปี 2010 มีการจ้างงาน 400,000 ตำแหน่ง ในปี 2013 การจ้างงานจะสูงถึง 500,000ตำแหน่ง (รายละเอียดจะเล่าเป็นอีกตอนหนึ่งในภายหลัง)
กระทรวงพลังงานควรปรับปรุงกฎหมายระเบียบที่เปิดทางให้ประชาชนได้ขยายความคิดสร้างสรรค์ และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการผลิตพลังงานอย่างจริงจัง
ในเมื่อกระทรวงพลังงานยังใช้เงินปีละหลายหมื่นล้านบาทเพื่อชดเชยการใช้ก๊าซ LPG ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้ แต่ประชาชนในชุมชนที่ผลิต Biogas ใช้เอง ลดการใช้ก๊าซ LPG ของส่วนกลางควรมีกองทุนเป็นแรงจูงใจเพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น รวมถึงการหาวิธีให้มีการขายเข้าสู่ระบบได้ จึงจะเป็นวิธีการส่วนหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขวิกฤตพลังงานได้
