xs
xsm
sm
md
lg

“คีรี” ครวญ “บีทีเอส” โดนมรสุมอ่วม ยันดีเอสไอฟ้องไม่กระทบอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ซีอีโอ “บีทีเอส” ชี้ดีเอสไอฟ้องไม่กระทบการจัดตั้ง “กองทุนอินฟราสตรักเจอร์ฟันด์” ยันทุกขั้นตอนถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมวอนขอความเห็นใจจากผู้ที่เกี่ยวข้อง พึงใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการให้ข้อมูลและความเห็นหรือดำเนินการใดๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อผู้ลงทุน ตลาดทุน และภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะบริษัทเป็น บจ. ในตลาดหุ้น และดำเนินธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงข่าวเกี่ยวกับสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงระยะยาว 30 ปี และการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยระบุว่า ตามที่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2555 บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่องการลงนามในสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร ระยะเวลาสัญญา 30 ปี (สัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปี) ระหว่างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอสซี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (กรุงเทพธนาคม) ซึ่งเป็นบริษัทที่กรุงเทพมหานครเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และตามข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2556 และข่าวที่ปรากฏตามสื่อบางส่วนว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อหาแก่ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร กรุงเทพธนาคมและผู้บริหารของกรุงเทพธนาคม ตลอดจนบีทีเอสซีและผู้บริหารบางรายของบีทีเอสซี ว่าร่วมกันประกอบกิจการรถรางโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม 2515 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา นั้น

บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า เรื่องที่ปรากฏตามข่าวดังกล่าวข้างต้น เป็นการกล่าวอ้างเกี่ยวกับสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปี ซึ่งครอบคลุมการรับจ้างให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโดยบีทีเอสซีในส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ และช่วงวงเวียนใหญ่-บางหว้า ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และเส้นทางเดิมของสัมปทานภายหลังครบกำหนดอายุสัมปทานในปี 2572 ซึ่งสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปี เป็นสัญญาต่างฉบับกันและไม่ใช่การดำเนินการโครงการตามสัญญาสัมปทานเดิมของบีทีเอสซีตามสัญญาสัมปทานฉบับลงวันที่ 9 เมษายน 2535 (สัญญาสัมปทาน) ระหว่างกรุงเทพมหานคร และบีทีเอสซีแต่อย่างใด ซึ่งตามสัญญาสัมปทาน บีทีเอสซีในฐานะผู้รับสัมปทานเป็นเจ้าของสิทธิในการให้บริการและได้รับเงินค่าโดยสารจากระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสสายหลักระยะทางรวม 23.5 กิโลเมตร สายสุขุมวิทจากช่วงอ่อนนุช-หมอชิต และสายสีลมจากช่วงสะพานตากสิน-สนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งบีทีเอสซีได้เข้าทำสัญญาสัมปทานดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2535 และได้ดำเนินการโครงการระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสสายหลักมาแล้วเป็นเวลากว่า 13 ปี และสัมปทานมีอายุเหลืออยู่อีกประมาณ 17 ปี โดยจะสิ้นสุดในปี 2572 สัญญาสัมปทานเป็นสัญญาที่สมบูรณ์และมีผลผูกพันระหว่างคู่สัญญา การกล่าวหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือผลของคดีที่เกี่ยวกับสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปี จะไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสัญญาสัมปทาน

สำหรับเรื่องที่ปรากฏตามข่าวเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2556 ว่ามีผู้ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่ากรณีที่บริษัทฯ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด ร่วมกันจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (“กองทุนรวมฯ”) อาจเข้าข่ายมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า การจัดตั้งกองทุนรวมฯ ที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้อนุญาตจัดตั้งโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เป็นการดำเนินการตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และประกาศที่เกี่ยวข้อง การระดมทุนโดยการจัดตั้งกองทุนรวมฯ เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

ดังนั้น บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่ผิดกฎหมายหรือจัดตั้งกองทุนรวมฯ เพื่อฉ้อโกงประชาชนตามที่มีการกล่าวอ้างในการจัดตั้งกองทุนรวมฯ เพื่อระดมทุนนั้น บีทีเอสซีจะขายหรือโอนรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการดำเนินงานของระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสสายหลัก ระยะทาง 23.5 กิโลเมตร ตามสัญญาสัมปทานที่มีอายุเหลืออยู่อีกประมาณ 17 ปี ให้กับกองทุนรวมฯ เท่านั้น

สำหรับรายได้ค่าโดยสารที่เกิดจากส่วนต่อขยายจากสะพานตากสินไปวงเวียนใหญ่ และจากอ่อนนุชไปแบริ่งเป็นรายได้ของกรุงเทพมหานคร โดยบีทีเอสซีได้รับเพียงค่าจ้างจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าตามสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปีเท่านั้น และบีทีเอสซีไม่ได้นำส่วนของค่าจ้างที่เกิดจากสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปี ไปขายหรือโอนให้แก่กองทุนรวมฯ เมื่อกองทุนรวมฯ จัดตั้งขึ้นตามที่ปรากฏตามข่าวแต่อย่างใด

ดังนั้น การที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีการกล่าวหาว่าสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปีเป็นการประกอบกิจการรถรางโดยไม่ได้รับอนุญาต และอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริง จึงไม่เกี่ยวกับการดำเนินการโครงการตามสัญญาสัมปทานเดิมของบีทีเอสซี บริษัทฯ ขอชี้แจงว่าไม่ว่าผลการพิจารณาของกรมสอบสวนคดีพิเศษในกรณีดังกล่าวจะเป็นอย่างไร จะไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของการขายหรือโอนรายได้ค่าโดยสารสุทธิที่บีทีเอสซีจะได้รับภายใต้สัญญาสัมปทานที่มีอายุเหลืออยู่ประมาณ 17 ปี ให้กับกองทุนรวมฯ ที่บริษัทฯ และบีทีเอสซีดำเนินการอยู่ในขณะนี้

บีทีเอสซีจึงขอยืนยันว่า ในการทำสัญญาการให้บริการเดินรถระยะยาว 30 ปีกับกรุงเทพธนาคมนั้น บีทีเอสซีได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยถูกต้อง และบีทีเอสซียินดีให้ความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษในการให้ข้อเท็จจริงต่างๆ และดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป โดยบริษัทฯ และบีทีเอสซีเชื่อมั่นว่าบีทีเอสซีได้ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย และคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเสมอมา

อนึ่ง เนื่องจากบริษัทฯ ในฐานะที่เป็นเอกชน และเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก บริษัทฯ จึงขอความเห็นใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องให้พึงใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการให้ข้อมูลและความเห็นหรือดำเนินการใดๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อผู้ลงทุน ตลาดทุน และภาพลักษณ์ของประเทศด้วย และบริษัทฯ ใคร่ขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการพิจารณาข่าวสารต่างๆ หากมีความคืบหน้าที่สำคัญประการใด บริษัทฯ จะแจ้งให้ทราบต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น