xs
xsm
sm
md
lg

STEEL จ้างบริษัทฝรั่งบริหารพลิกฟื้นกิจการ จ่อ M&A จี เจ สตีล-การันตีปีนี้มีกำไรแน่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - “จีสตีล” เล็งจ้างบริษัทรับบริหารจัดการฝรั่งเพื่อพลิกฟื้นกิจการให้มีกำไรอีกครั้ง หลังถูกแบงก์ต่างชาติบีบต้องTurnaround ก่อนปล่อยเครดิตวัตถุดิบให้ 8-9 พันล้านบาท และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน-ซัปพลายเออร์ มั่นใจกลับมาผลิตได้เต็มที่ในไตรมาส 2 นี้ หลังแปลงหนี้เป็นทุนให้เจ้าหนี้เพิ่มเติมแล้วเสร็จ แย้มเตรียมควบรวมกับจี เจ สตีล (GJS) ในครึ่งปีหลังนี้ ลดต้นทุนและสร้างความเข้มแข็ง มั่นใจปีนี้มีกำไรอย่างแน่นอน

นายสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล รองประธานกรรมการ บริษัท จีสตีล จำกัด (มหาชน)(GSTEEL) เปิดเผยภายหลังการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2556 ว่า ที่ประชุมฯ เห็นชอบแต่งตั้งบริษัทรับบริหารจัดการเพื่อพลิกฟื้นกิจการ (Turnaround) ให้มีผลประกอบการกลับมาดีขึ้นโดยเร็ว รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ลดต้นทุนการผลิต 5-10% และทำตลาด ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งในการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทฯ และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและซัปพลายเออร์วัตถุดิบด้วย

ขณะนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการคัดเลือกบริษัทรับบริหารจัดการฯ เหลือเพียง 1 ราย จากเดิม 3 ราย และอยู่ในขั้นตอนเจรจารายละเอียด คาดว่าจะว่าจ้างบริษัทฯ ดังกล่าวได้ทันทีหลังจากจีสตีลดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/2556 ส่งผลให้จีสตีลกลับมาผลิตเหล็กแผ่นฯ ได้เต็มที่ 100% ในไตรมาส 2/2556 สูงกว่าปีก่อนที่ผลิตเหล็กรีดร้อนเฉลี่ย 20-30% ของกำลังการผลิต เพราะในปีที่แล้วโรงงานได้หยุดผลิตเนื่องจากขาดสภาพคล่อง

ดังนั้น ในปีนี้บริษัทฯ จะพลิกฟื้นมามีกำไรได้อย่างแน่นอน หลังจากเดินเครื่องจักรเต็มที่ในไตรมาส 2 นี้ กอปรกับแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กปีนี้ดีขึ้นเนื่องจากมีงานโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการภายใต้การบริหารจัดการน้ำทำให้มีความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้น และกระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กรีดร้อนเจือโบรอนจากจีนเมื่อเดือน ธ.ค. 2555 ทำให้เหล็กรีดร้อนเจอโบรอนนำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีนำเข้า 14. 47% หลังจากครึ่งแรกของปี 2555 ไทยนำเข้าเหล็กฯ จากจีนถึง 5.8 แสนตัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการเหล็กในประเทศประสบปัญหาการขาดทุน

“บริษัทต้องว่าจ้าง Turnaround เข้ามาช่วยพลิกฟื้นบริษัทให้กลับมาดีขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ปกป้องบริษัทฯ ก็ต้องอยู่ได้ โดยจะมีสัญญาว่าจ้างแบบปีต่อปี โดยบริษัทนี้จะมีการตั้งผู้บริหารมืออาชีพมานั่งตำแหน่ง CEO CFO และอื่นๆ เข้ามาช่วยบริหารงานเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยกรรมการเดิมของบริษัทฯ ก็ยอมออกไปครึ่งหนึ่ง การตั้งTurnaround ไปตามเงื่อนไขที่แบงก์ที่อุดหนุนซัปพลายเออร์วัตถุดิบจะให้เครดิตวัตถุดิบ 8-9 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอป้อนทั้งโรงงานของจีสตีลและ บมจ.จี เจ สตีล (GJS) โดยก่อนหน้านี้ได้ติดต่อบริษัทผลิตรถยนต์และบริษัทเหล็กรายใหญ่จากญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุน ทางญี่ปุ่นก็ต้องการเห็นบริษัท Turnaround และโปร่งใสก่อนตัดสินใจ”

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะจัดสรรหุ้นสามัญไม่เกิน 5,321 พันล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1บาทให้แก่เจ้าหนี้ของบริษัทฯ เพิ่มเติมอีก 11 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 2.65 พันล้านบาท ตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท โดยเจ้าหนี้กว่าครึ่งเห็นชอบด้วย แต่ยังมีเจ้าหนี้รายใหญ่ 3 ราย คือ Cargill International Trading, Duferco Asia และ Intergate AG ที่อยู่ระหว่างการเจรจาว่าจะแปลงหนี้เป็นทุนหรือยืดการชำระหนี้ออกไป 5-7 ปี คาดว่าภายใน 2 เดือนข้างหน้าจะมีความชัดเจนขึ้น

ภายหลังจากการแปลงหนี้เป็นทุนสำเร็จแล้วจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงมาเหลือประมาณ 0.5-0.6 เท่า หรือจำนวนหนี้ลดลงเหลือประมาณ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่มี D/E กว่า 3 เท่า หรือมีหนี้สินรวม 950 ล้านเหรียญสหรัฐ และปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้สินลดลงมาที่ 550 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขอลดหนี้และแปลงหนี้เป็นทุนในครั้งก่อนหน้า

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้บรุ๊คเคอร์ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ที่จีสตีลจะควบรวมกิจการ (M&A) กับ บมจ.จี เจ สตีล (GJS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้ามา ทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้นเป็น 3.3 ล้านตัน/ปี มั่นใจว่าไม่ติดข้อกฎหมายการผูกขาดตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบัน บมจ.สหวิริยาสตีลฯ เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนรายใหญ่ของไทยอยู่แล้ว และไทยก็มีการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากต่างประเทศด้วย ซึ่งการควบรวมกิจการนี้จะทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ช่วยลดต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบหรือเศษเหล็ก และลดการแข่งขันการขาย หลังจากบริษัทฯ มีความเข้มแข็งขึ้นจึงค่อยดำเนินการหาพันธมิตรร่วมทุนต่อไป

นายชาญ บูลกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการอำนวยการ บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของจีสตีล กล่าวว่า การควบรวมกิจการจีสตีล กับจีเจ สตีล คาดว่าดำเนินการแล้วเสร็จใน 7-8 เดือนข้างหน้า หลังจากจีสตีลได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว

ส่วนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ GJS คาดว่าจะประสบความสำเร็จตามแผนฯ เพราะราคาเสนอขายอยู่ที่หุ้นละ 0.08 บาท ต่ำกว่าราคากระดานที่อยู่ 0.09 บาท โดยผู้ถือหุ้นเดิมยังได้ใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฟรีในสัดส่วน 1 หุ้นต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ทำให้ GJS ได้เงินจากการเพิ่มทุน 2.7 พันล้านบาทเพื่อมาใช้ซื้อวัตถุดิบในการเดินเครื่องจักร 1.2-1.3 พันล้านบาท และชำระคืนหนี้จีสตีลอีก 1 พันล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มีเงินใช้ในการเดินเครื่องจักรอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น