ASTVผู้จัดการรายวัน - SCG ระบุ 5 ปีนี้จะเน้นลงทุนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เหตุความต้องการใช้ปูนในอาเซียนเติบโตเพิ่มขึ้นตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยงบลงทุน 5 ปีใช้เงิน 1.5-2 แสนล้านบาท เน้นลงทุนในอาเซียน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนของบริษัทฯ ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีสัดส่วนการลงทุนธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมากกว่าธุรกิจ จากเดิมเป็นธุรกิจเคมีภัณฑ์ เนื่องจากแนวโน้มการใช้ซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียนยังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ในอาเซียน ทั้งพม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย
ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้อนุมัติการลงทุนสร้างโรงปูนซีเมนต์กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปีที่อินโดนีเซีย ใช้เงินลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี 2558 และเตรียมพื้นที่รองรับการขยายกำลังการผลิตปูนเพิ่มอีก 1 ไลน์ขนาด 1.8 ล้านตัน/ปี หลังจากโรงแรกผลิตไปแล้ว 1-2 ปี และการขยายกำลังการผลิตโรงปูนในกัมพูชาอีก 9 แสนตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 5.5 พันล้านบาท เสร็จกลางปี 2558
ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโรงปูนซีเมนต์ในพม่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอการอนุมัติจากรัฐบาลพม่า ซึ่งพร้อมจะลงทุนได้ทันทีหลังได้รับอนุมัติ ใช้เงินลงทุนรวม 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเตรียมพื้นที่รองรับการผลิตปูนไว้ 2 ไลน์การผลิต ตั้งเป้าหมายว่าโรงปูนแห่งแรกจะแล้วเสร็จในปลายปี 2558
ปัจจุบันธุรกิจซีเมนต์มีสัดส่วนคิดเป็น 32% ของสินทรัพย์ทั้งหมด เชื่อว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ขณะที่สัดส่วนเคมีภัณฑ์จะลดลงเหลือ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 53% ของสินทรัพย์ทั้งหมด
ปีนี้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ไนอาเซียนเติบโตประมาณ 10% และปีหน้าคาดว่าความต้องการใช้ปูนยังเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ไนไทย 9 เดือนแรกโตกว่า 10%
“งบการลงทุน 5 ปีข้างหน้า (2556-2560) ใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท โดยจะเน้นการลงทุนในประเทศอาเซียนเป็นหลัก เน้นลงทุนอินโดนีเซีย เวียดนาม และพม่า ขณะที่ไทยยังมีการลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยอดขายจากอาเซียนอยู่ที่ 8-9% ของยอดขายรวมเนื่องจากฐานเล็ก แต่เชื่อว่าปี 2558 ยอดขายอาเซียนจะโต 3-4 เท่า”
นายกานต์กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตนได้ต้อนรับซีอีโอญี่ปุ่นถึง 7 คน ทำให้มั่นใจว่าไทยยังเป็นประเทศที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอีกมาก ด้วยวิสัยทัศน์ของ SCG ในการเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ต้องปรับตัวพร้อมรับการแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติที่จะเข้ามา แต่เมื่อตลาดเปิดกว้างขึ้นก็เป็นโอกาสสำหรับบริษัทเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีการลงทุนในอาเซียนแทบทุกประเทศ ยกเว้นบรูไน
นายกานต์กล่าวในงาน “ถอดบทเรียนเอสซีจี 100 ปี องค์กรนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2456 ถึงปัจจุบัน เอสซีจีมีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งมีพื้นฐานมาจากอุดมการณ์ 4 ของเอสซีจี โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เอสซีจีเติบโตอย่างมั่นคงคือ คน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงสุด ซึ่งในแต่ละปีเอสซีจีใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคคลปีละ 1,200 ล้านบาท
เอสซีจียังเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ตามนโยบายมุ่งสู่องค์กรนวัตกรรม เรามั่นใจว่ามาถูกทางและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี โดยสินค้า HVA มีอัตราเติบโตสูงขึ้นอย่างมาก เทียบจากปี 2547-2554 ยอดขายรวมเติบโตขึ้นร้อยละ 90 สินค้า HVA มีอัตราเติบโตสูงถึงร้อยละ 1400 หรือ 14 เท่า ขณะที่สินค้า Commodity มีอัตราเติบโตร้อยละ 34 ณ ปัจจุบันสินค้าในกลุ่ม HVA มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 34 ของยอดขายรวม และได้ตั้งเป้ายอดขายจากสินค้าและบริการ HVA ร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2558
“ก้าวต่อไปของเอสซีจีจะเติบโตเป็นผู้นำธุรกิจอย่างแท้จริงในอาเซียน แนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีเครือข่ายธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา สิงค์โปร์ มาเลเซีย และเมียนมาร์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวม 55,400 ล้านบาท รวมทั้งมุ่งเน้นขยายการลงทุนธุรกิจหลักในอาเซียน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีมูลค่าการลงทุน 77,500 ล้านบาท ทั้ง M&A และ Greenfield ในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และไทย” นายกานต์กล่าว