ปูนซิเมนต์ไทยฟันธงครึ่งปีหลังกำไรสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ดีกว่าครึ่งปีแรกที่วูบ 39% จากธุรกิจเคมีภัณฑ์ขาดทุนพันล้านบาทครั้งแรกนับจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ชี้ครึ่งปีหลังมาร์จินเคมีภัณฑ์ดีขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันและมีกำไรจากสต๊อกสินค้า เตรียมทบทวนแผนการลงทุน 5ปี มูลค่า 2 แสนล้านบาทให้บอร์ดพิจารณาส.ค.นี้ มั่นใจความชัดเจนการจัดหาเงินกู้โครงการปิโตรฯที่เวียดนามหลังได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้ยุโรป
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือSCC เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลัง 2555ว่า บริษัทฯมั่นใจว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีกำไรสุทธิดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 10,252 ล้านบาท เนื่องจากมาร์จินของธุรกิจเคมีภัณฑ์ดีขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันที่เริ่มขยับสูงขึ้น ขณะกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ของโลกครึ่งปีหลังก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 1 ล้านกว่าตันเท่านั้น โดยยอดขายปีนี้คาดจะสูงกว่า 4.1 แสนล้านบาท
หลังจากไตรมาส 2/2555 ธุรกิจเคมีภัณฑ์ขาดทุนสุทธิ 1,005 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์ เนื่องจากมีการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือและผลกระทบจากการหยุดการผลิตของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์จำกัด รวมทั้งธุรกิจนี้อยู่ในช่วงวัฎจักรขาลง แม้ว่าไตรมาส 2 ธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีรายได้จากการขาย 49,339 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์มีสัญญาณการฟื้นตัวที่เด่นชัดขึ้นในไตรมาสที่ 3 นี้ หลังราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้าและวัตถุดิบปรับตัวสูงตาม ทำให้บริษัทมั่นใจมีกำไรจากสต๊อกสินค้า รวมทั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกกับแนฟธา(สเปรด)ก็ยังอยู่ในระดับสูง สเปรด HDPE ดีกว่าไตรมาสแรกและไตรมาส 3 นี้ สเปรดได้อ่อนตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นตามแนวโน้มน้ำมัน ส่วนสเปรดเม็ดพลาสติก PP ในไตรมาส2 ดีกว่าไตรมาสแรก และแม้ว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์จะมีมาร์จินที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ยุโรปและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งบริษัทฯมองว่าเห็นว่าผลกระทบจากจีนจะรุนแรงต่อไทยมากกว่า
**** กำไรครึ่งปีแรกวูบ 39%
สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทฯในไตรมาสที่ 2/ 2555 มีรายได้จากการขาย 100,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง และมีกำไร 4,280 ล้านบาท ลดลง 43% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์มีการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง 2,000 ล้านบาท ตามความผันผวนของราคาน้ำมันทำให้ราคาวัตถุดิบปรับลดลงเร็วมากจนต้องบันทึกขาดทุนจากสต๊อกสินค้า ส่งผลให้ผลงานครึ่งแรกปี 55 มีรายได้จากการขาย 203,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 10,252 ล้านบาท ลดลง 39 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
**** บอร์ดฯไฟเขียวลงทุนเพิ่ม
นายกานต์ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุน 1,320 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) และ ยังได้ลงทุนในโครงการลดการใช้พลังงาน 3 โครงการ ที่โรงงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด โรงงานบริษัทสยามปูนซิเมนต์ขาว จำกัด และโรงงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ( ท่าหลวง) จำกัด ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีมูลค่ารวม 854 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมเสนอทบทวนแผนการลงทุน 5ปี ( 2556-2560 ) ต่อบอร์ดเดือนส.ค.นี้ คาดใช้เงินทุน 2 แสนล้านบาท โดยเกินกึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนในอาเซียน ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม มูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการหาเงินกู้ ซึ่งล่าช้าเพราะปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้สถาบันการเงินต่างประเทศยังไม่กล้าปล่อยกู้ แต่เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีความชัดเจนในการหาแหล่งเงินทุน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือSCC เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลัง 2555ว่า บริษัทฯมั่นใจว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีกำไรสุทธิดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีกำไรสุทธิ 10,252 ล้านบาท เนื่องจากมาร์จินของธุรกิจเคมีภัณฑ์ดีขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันที่เริ่มขยับสูงขึ้น ขณะกำลังการผลิตปิโตรเคมีใหม่ของโลกครึ่งปีหลังก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 1 ล้านกว่าตันเท่านั้น โดยยอดขายปีนี้คาดจะสูงกว่า 4.1 แสนล้านบาท
หลังจากไตรมาส 2/2555 ธุรกิจเคมีภัณฑ์ขาดทุนสุทธิ 1,005 ล้านบาท นับเป็นครั้งแรกหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอร์ เนื่องจากมีการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือและผลกระทบจากการหยุดการผลิตของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์จำกัด รวมทั้งธุรกิจนี้อยู่ในช่วงวัฎจักรขาลง แม้ว่าไตรมาส 2 ธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีรายได้จากการขาย 49,339 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ตาม
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์มีสัญญาณการฟื้นตัวที่เด่นชัดขึ้นในไตรมาสที่ 3 นี้ หลังราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้าและวัตถุดิบปรับตัวสูงตาม ทำให้บริษัทมั่นใจมีกำไรจากสต๊อกสินค้า รวมทั้งส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกกับแนฟธา(สเปรด)ก็ยังอยู่ในระดับสูง สเปรด HDPE ดีกว่าไตรมาสแรกและไตรมาส 3 นี้ สเปรดได้อ่อนตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นตามแนวโน้มน้ำมัน ส่วนสเปรดเม็ดพลาสติก PP ในไตรมาส2 ดีกว่าไตรมาสแรก และแม้ว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์จะมีมาร์จินที่ดี แต่ก็มีความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ยุโรปและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งบริษัทฯมองว่าเห็นว่าผลกระทบจากจีนจะรุนแรงต่อไทยมากกว่า
**** กำไรครึ่งปีแรกวูบ 39%
สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทฯในไตรมาสที่ 2/ 2555 มีรายได้จากการขาย 100,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง และมีกำไร 4,280 ล้านบาท ลดลง 43% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์มีการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง 2,000 ล้านบาท ตามความผันผวนของราคาน้ำมันทำให้ราคาวัตถุดิบปรับลดลงเร็วมากจนต้องบันทึกขาดทุนจากสต๊อกสินค้า ส่งผลให้ผลงานครึ่งแรกปี 55 มีรายได้จากการขาย 203,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไร 10,252 ล้านบาท ลดลง 39 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
**** บอร์ดฯไฟเขียวลงทุนเพิ่ม
นายกานต์ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุน 1,320 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA) และ ยังได้ลงทุนในโครงการลดการใช้พลังงาน 3 โครงการ ที่โรงงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด โรงงานบริษัทสยามปูนซิเมนต์ขาว จำกัด และโรงงานบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ( ท่าหลวง) จำกัด ซึ่งทั้ง 3 โครงการมีมูลค่ารวม 854 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมเสนอทบทวนแผนการลงทุน 5ปี ( 2556-2560 ) ต่อบอร์ดเดือนส.ค.นี้ คาดใช้เงินทุน 2 แสนล้านบาท โดยเกินกึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนในอาเซียน ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม มูลค่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการหาเงินกู้ ซึ่งล่าช้าเพราะปัญหาหนี้ยุโรป ทำให้สถาบันการเงินต่างประเทศยังไม่กล้าปล่อยกู้ แต่เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีความชัดเจนในการหาแหล่งเงินทุน
