xs
xsm
sm
md
lg

ดีลเทกโอเวอร์เวิร์ก ดัน “ปูนใหญ่” ปรับเป้ายอดขายเป็นกว่า 4.1 แสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน- “ปูนซิเมนต์ไทย” เล็งปรับเป้ายอดขายปีนี้กว่า 4.1 แสนล้านบาท จากเดิม 4 แสนล้านบาท เหตุรับรู้ยอดขายจากเข้าไปซื้อกิจการ-บริษัทร่วมทุนที่จะเริ่มบุ๊คในไตรมาส 2/55 นี้ รวมถึงทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้น หลังธุรกิจเคมีคอลส์ฉุดกำไรสุทธิ 1/55 ลดลง 35% อยู่ที่ 5.97 พันล้านบาท “กานต์” เผยงบเข้าเทกโอเวอร์สูงเกินกว่า 4 หมื่นล้านบาท จากมีดีลรอซื้ออยู่ทั้งไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4.1 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมียอดขาย 4 แสนล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีการรับรู้รายได้ และกำไรจากการที่บริษัทเข้าไปซื้อกิจการ และเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาที่จะเริ่มรับรู้ในไตรมาส 2/55 นี้ ขณะธุรกิจเคมิคอลส์จะมีการปรับตัวขึ้น จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนในการผลิตลดลง ทำให้ส่วนต่างราคาขายกับวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น จากไตรมาส 1/55 อยู่ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งถือว่าว่าสุดในรอบ 8 ปี

สำหรับปัจจุบัน ราคาส่วนต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็น 453 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพราะราคาน้ำมันดิบมีทิศทางปรับตัวลดลงหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงที่อิหร่าน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทปรับตัวลดลง จากที่ไตรมาส 1/55 ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า ส่วนธุรกิจซีเมนต์มีการปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย โรงงานต่างๆ ที่ดี และจะมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐออกมา จากที่ไตรมาส 1/55 ยังไม่มีการลงทุน โดยคาดว่า ปริมาณการขายซีเมนต์ปีนี้จะโตกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5% และธุรกิจกระดาษปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน

“กลางปีนี้ บริษัทเตรียมที่จะปรับเป้ากำไรสุทธิ ยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 4.1 แสนล้านบาท แต่กว่าเท่าไรต้องรอดูว่าธุรกิจที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน และซื้อกิจการที่จะรับรู้เป็นยอดขายที่จะเข้ามาไตรมาส 2/55 และทุกธุรกิจของบริษัทจะมีการปรับตัวดีขึ้น จากที่ไตรมาส 1/55 ถือว่าเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปีนี้แล้ว จากธุรกิจเคมีคอลส์ในไตรมาส 1/55 ที่ฉุดเรื่องของกำไร” นายกานต์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขาย และกำไรสุทธิในไตรมาส 2/55 จะมีการปรับตัวดีขึ้นทุกธุรกิจ และบริษัทจะมีการบันทึกค่าประกันภัยโรงงานของบริษัทที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจำนวน 500 ล้านบาท และบริษัทจะมีการรับรู้เงินปันผลจากบริษัทร่วมที่บริษัทเข้าไปลงทุน และเข้าไปซื้อกิจการ เข้ามาในไตรมาส 2/55 โดยในช่วงเดียวกันปีก่อน บริษัทได้รับเงินปันผลจากบริษัทร่วมประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกเป็นกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (อิบิดา)

สำหรับแผนการซื้อกิจการนั้น บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการในการเข้าไปซื้อกิจการบริษัทประกอบธุรกิจซีเมนต์ในเวียดนาม บริษัทประกอบธุรกิจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เวียดนาม อินโดนีเซีย

ขณะที่ในประเทศไทยนั้น อยู่ระหว่างการเจรจา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยธุรกิจได้ ทำให้งบการลงทุนซื้อกิจการในปีนี้จะมากกว่างบที่บริษัทตั้งไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาท เพราะไตรมาส 1/55 บริษัทใช้เงินในการซื้อกิจการแล้วจำนวน 2 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีปัญหาจากที่บริษัทมีกระแสเงินสด ณ สิ้นไตรมาส 1/55 อยู่ที่ 4.48 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ดีลที่บริษัทจะเข้าไปซื้อกิจการขณะนี้ได้เข้าไปตรวจสถานะทางการเงินเรียบร้อยแล้วจำนวน 2-3 ดีล ซึ่งเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือ การตกลงเรื่องราคา ซึ่งบริษัทที่คาดว่าธุรกิจที่จะเข้าไปซื้อ และสรุปได้ในไตรมาส 2/55 คือ ที่เวียดนาม

นายกานต์ กล่าวว่า ไตรมาส 1/55 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,972 ล้านบาท ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตปิโตรเคมีในตลาดโลกเกินความต้องการ ประกอบกับปริมาณความต้องการลดลง โดยบริษัทมียอดขาย 102,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และราคาสินค้าที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ ส่วนธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1/55 มีรายได้จากการขาย 6,367 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 52,904 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 14 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท
กำลังโหลดความคิดเห็น