ASTVผู้จัดการรายวัน-ปูนซิเมนต์ไทยฮุบหุ้นใหญ่บริษัทวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในฟิลิปปินส์ ใช้เงินหลายพันล้านบาท จ่อรุกโรงปูนซีเมนต์ในพม่าและอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทร่วมทุนที่ดำเนินธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในฟิลิปปินส์เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 40% โดยจะเพิ่มเป็นประมาณ 80% ใช้เงินลงทุนหลายพันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะบริษัทดังกล่าวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และภายหลังการเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างแบรนด์ท้องถิ่นเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีโครงการลงทุนผลิตปูนซีเมนต์ในพม่าขนาดกำลังการผลิต 1.8-1.9 ล้านตันต่อปี ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะห่างจากร่างกุ้งเพียง 300 กิโลเมตร โดยมีแหล่งหินปูนเพียงพอต่อการผลิต คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ในต้นปีหน้า หลังจากสรุปในปลายปีนี้ รวมทั้งยังมองโอกาสการลงทุนโรงปูนซีเมนต์ใหม่ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปี2555
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม มูลค่าเงินลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปโปรเจ็คต์ไฟแนนซ์ประมาณไตรมาส 1/2556 เนื่องจากการเจรจาเงินกู้ต้องใช้เวลา เพราะยังมีวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป และญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากเหตุการณ์สึนามิ แต่เชื่อว่าการก่อสร้างจะใช้เวลาเร็วกว่าปกติเมื่อมีข้อสรุปทางการเงินเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยีมีความพร้อม และบริษัทได้เตรียมความพร้อมไว้นานแล้ว
โดยเดือนมี.ค.นี้ จะเดินทางไปญี่ปุ่นก็จะหารือกับเจบิคเพื่อหาเงินกู้ไปลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายจัดหาเงินกู้เพื่อใช้ในโครงการนี้ในรูปแบบCorporate Finance แทน Project Finance การตัดสินใจเข้าไปลงทุนในประเทศอาเซียนทำให้ทรัพย์สินของบริษัทในอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 13% และบริษัทยังไม่มีแผนปรับเป้ารายได้ใหม่ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท แม้ว่าการเข้าไปซื้อบริษัทวัสดุก่อสร้างที่อินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ จะทำให้รายได้ทั้งปีของบริษัทฯเกินกว่า 4 แสนล้านบาทก็ตาม
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่าปูนซิเมนต์ไทย สนใจเจรจาซื้อหุ้น บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) นั้น นายกานต์ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องต่างเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่า บริษัทมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทร่วมทุนที่ดำเนินธุรกิจวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ในฟิลิปปินส์เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 40% โดยจะเพิ่มเป็นประมาณ 80% ใช้เงินลงทุนหลายพันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะบริษัทดังกล่าวอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และภายหลังการเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังใช้ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างแบรนด์ท้องถิ่นเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ยังมีโครงการลงทุนผลิตปูนซีเมนต์ในพม่าขนาดกำลังการผลิต 1.8-1.9 ล้านตันต่อปี ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะห่างจากร่างกุ้งเพียง 300 กิโลเมตร โดยมีแหล่งหินปูนเพียงพอต่อการผลิต คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ในต้นปีหน้า หลังจากสรุปในปลายปีนี้ รวมทั้งยังมองโอกาสการลงทุนโรงปูนซีเมนต์ใหม่ในอินโดนีเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปี2555
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม มูลค่าเงินลงทุน 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสรุปโปรเจ็คต์ไฟแนนซ์ประมาณไตรมาส 1/2556 เนื่องจากการเจรจาเงินกู้ต้องใช้เวลา เพราะยังมีวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป และญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากเหตุการณ์สึนามิ แต่เชื่อว่าการก่อสร้างจะใช้เวลาเร็วกว่าปกติเมื่อมีข้อสรุปทางการเงินเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยีมีความพร้อม และบริษัทได้เตรียมความพร้อมไว้นานแล้ว
โดยเดือนมี.ค.นี้ จะเดินทางไปญี่ปุ่นก็จะหารือกับเจบิคเพื่อหาเงินกู้ไปลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ซึ่งที่ผ่านมา ได้ให้ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายจัดหาเงินกู้เพื่อใช้ในโครงการนี้ในรูปแบบCorporate Finance แทน Project Finance การตัดสินใจเข้าไปลงทุนในประเทศอาเซียนทำให้ทรัพย์สินของบริษัทในอาเซียนเพิ่มขึ้นจาก 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 13% และบริษัทยังไม่มีแผนปรับเป้ารายได้ใหม่ในปีนี้ที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท แม้ว่าการเข้าไปซื้อบริษัทวัสดุก่อสร้างที่อินโดนีเซียเมื่อเร็วๆ นี้ จะทำให้รายได้ทั้งปีของบริษัทฯเกินกว่า 4 แสนล้านบาทก็ตาม
ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่าปูนซิเมนต์ไทย สนใจเจรจาซื้อหุ้น บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) นั้น นายกานต์ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้องต่างเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์