“ปูนซิเมนต์ไทย” เล็งปรับเป้ายอดขายปีนี้กว่า 4.1 แสนล้านบาท จากเดิม 4 แสนล้านบาท เหตุ รับรู้ยอดขายจากเข้าไปซื้อกิจการ-บริษัทร่วมทุนที่จะเริ่มบุ๊คในไตรมาส2/55นี้ รวมถึงทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้น “กานต์”เผยงบเข้าเทกโอเวอร์สูงเกินกว่าเป้า 4 หมื่นล้านบาท จากมีดีลรอซื้ออยู่ทั้งไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4.1 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมียอดขาย 4 แสนล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการที่บริษัทเข้าไปซื้อกิจการ และเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทต่างๆในช่วงที่ผ่านมาที่จะเริ่มรับรู้ในไตรมาส2/55นี้ ขณะธุรกิจเคมิคอลส์จะมีการปรับตัวขึ้น จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนในการผลิตลดลง ทำให้ส่วนต่างราคาขายกับวัตถุดิบ รับตัวเพิ่มขึ้น จากไตรมาส1/55 อยู่ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตันซึ่งถือว่าว่าสุดในรอบ 8 ปี
“กลางปีนี้บริษัทเตรียมที่จะปรับเป้ากำไรสุทธิ ยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 4.1 แสนล้านบาท แต่กว่าเท่าไรต้องรอดูว่าธุรกิจที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุนและซื้อกิจการที่จะรับรู้เป็นยอดขายที่จข้ามาไตรมาส2/55 และทุกธุรกิจของบริษัทจะมีการปรับตัวดีขึ้น จากที่ไตรมาส1/55 ถือว่าเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปีนี้แล้ว จากธุรกิจเคมีคอลส์ในไตรมาส1/55 ที่ฉุดเรื่องของกำไร ”นายกานต์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายและ กำไรสุทธิในไตรมาส2/55จะมีการปรับตัวดีขึ้นทุกธุรกิจ และบริษัทจะมีการบันทึกค่าประกันภัยโรงงานของบริษัทที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจำนวน 500 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทจะมีการรับรู้เงินปันผลจากบริษัทร่วมที่บริษัทเข้าไปลงทุน และเข้าไปซื้อกิจการ เข้ามาในไตรมาส2/55 โดยในช่วงเดียวกันปีก่อนบริษัทรับได้รับเงินปันผลจากบริษัทร่วมประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกเป็นกำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ (Ebitda)
สำหรับแผนการซื้อกิจการนั้น บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ ในการเข้าไปซื้อกิจการบริษัทประกอบธุรกิจซีเมนต์ในเวียดนาม บริษัทประกอบธุรกิจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เวียดนาม อินโดนีเซีย ขณะที่ในประเทศไทยนั้นอยู่ระหว่างการเจรจาจึงยังไม่สามารถเปิดเผยธุรกิจได้ ทำให้งบการลงทุนซื้อกิจการในปีนี้จะมากกว่างบที่บริษัทตั้งไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาท เพราะ ไตรมาส1/55 บริษัทใช้เงินในการซื้อกิจการแล้วจำนวน 2 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีปัญหาจากที่บริษัทมีกระแสเงินสด ณ สิ้นไตรมาส1/55 อยู่ที่ 4.48 หมื่นล้านบาท และคาดว่าธุรกิจที่จะเข้าไปซื้อและสรุปได้ในไตรมาส2/55 คือ ที่เวียดนาม
ส่วนไตรมาส1/55 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,972 ล้านบาท ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และ กำลังการผลิตปิโตรเคมีในตลาดโลกเกินความต้องการ ประกอบกับปริมาณความต้องการลดลง โดยบริษัทมียอดขาย 102,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปรับเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 4.1 แสนล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมียอดขาย 4 แสนล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีการรับรู้รายได้และกำไรจากการที่บริษัทเข้าไปซื้อกิจการ และเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทต่างๆในช่วงที่ผ่านมาที่จะเริ่มรับรู้ในไตรมาส2/55นี้ ขณะธุรกิจเคมิคอลส์จะมีการปรับตัวขึ้น จากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนในการผลิตลดลง ทำให้ส่วนต่างราคาขายกับวัตถุดิบ รับตัวเพิ่มขึ้น จากไตรมาส1/55 อยู่ที่ 370 เหรียญสหรัฐต่อตันซึ่งถือว่าว่าสุดในรอบ 8 ปี
“กลางปีนี้บริษัทเตรียมที่จะปรับเป้ากำไรสุทธิ ยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 4.1 แสนล้านบาท แต่กว่าเท่าไรต้องรอดูว่าธุรกิจที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุนและซื้อกิจการที่จะรับรู้เป็นยอดขายที่จข้ามาไตรมาส2/55 และทุกธุรกิจของบริษัทจะมีการปรับตัวดีขึ้น จากที่ไตรมาส1/55 ถือว่าเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปีนี้แล้ว จากธุรกิจเคมีคอลส์ในไตรมาส1/55 ที่ฉุดเรื่องของกำไร ”นายกานต์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายและ กำไรสุทธิในไตรมาส2/55จะมีการปรับตัวดีขึ้นทุกธุรกิจ และบริษัทจะมีการบันทึกค่าประกันภัยโรงงานของบริษัทที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจำนวน 500 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทจะมีการรับรู้เงินปันผลจากบริษัทร่วมที่บริษัทเข้าไปลงทุน และเข้าไปซื้อกิจการ เข้ามาในไตรมาส2/55 โดยในช่วงเดียวกันปีก่อนบริษัทรับได้รับเงินปันผลจากบริษัทร่วมประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกเป็นกำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ (Ebitda)
สำหรับแผนการซื้อกิจการนั้น บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ ในการเข้าไปซื้อกิจการบริษัทประกอบธุรกิจซีเมนต์ในเวียดนาม บริษัทประกอบธุรกิจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เวียดนาม อินโดนีเซีย ขณะที่ในประเทศไทยนั้นอยู่ระหว่างการเจรจาจึงยังไม่สามารถเปิดเผยธุรกิจได้ ทำให้งบการลงทุนซื้อกิจการในปีนี้จะมากกว่างบที่บริษัทตั้งไว้ที่ 4 หมื่นล้านบาท เพราะ ไตรมาส1/55 บริษัทใช้เงินในการซื้อกิจการแล้วจำนวน 2 หมื่นล้านบาท แต่ไม่มีปัญหาจากที่บริษัทมีกระแสเงินสด ณ สิ้นไตรมาส1/55 อยู่ที่ 4.48 หมื่นล้านบาท และคาดว่าธุรกิจที่จะเข้าไปซื้อและสรุปได้ในไตรมาส2/55 คือ ที่เวียดนาม
ส่วนไตรมาส1/55 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,972 ล้านบาท ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และ กำลังการผลิตปิโตรเคมีในตลาดโลกเกินความต้องการ ประกอบกับปริมาณความต้องการลดลง โดยบริษัทมียอดขาย 102,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน