xs
xsm
sm
md
lg

ปูนใหญ่กำไรหายเกือบพันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปูนซิเมนต์ไทย แจ้งผลงานไตรมาส 3 กำไรสุทธิหาย 961.71 ล้านบาท เหตุรายได้ส่วนแบ่งจากบริษัทร่วมวูบถึง 6,051 ล้านบาท แถมมาร์จิ้นธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลง และ EBITDA งวดนี้ต่ำกว่าไตรมาสก่อนหน้า พร้อมอัดงบลงทุนธุรกิจซีเมนต์ และกระดาษรวม 23,200 ล้านบาท หวังเติบโตอย่างยั่งยืนในอาเซียน

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC แจ้งผลงานไตรมาส 3 สิ้นสุด 30 กันยายน 55 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 6,415.51 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปี 54 ที่ทำไว้ 7,377.28 ล้านบาท หรือลดลง 961.71 ล้านบาท หรือลดลง 13.07% แม้ธุรกิจเคมีภัณฑ์เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับธุรกิจซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มี EBITDA เท่ากับ 11,520 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่้มีรายได้เงินปันผลจากเงินลงทุน ขณะที่มีรายได้จากการ
ขายเท่ากับ 104,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนเมื่้อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดลดลง 13% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก Margin ที่ลดลงของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ในขณะที่ EBITDA เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ในช่วง 9 เดือนของปี 2555 บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 602 ล้านบาท ลดลง 6,051 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจาก Margin ที่ลดลงของบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ และจากการหยุดการผลิตของ BST และเงินปันผลในงวดนี้ก็ลดลงด้วย

พร้อมกันนี้ SCC ยังแจ้งอีกว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติโครงการลงทุนต่างๆ ในธุรกิจซีเมนต์ และกระดาษรวม 23,200 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ SCC ที่มุ่งเป็นผู้นำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน โดยมีรายละเอียดดังนี้โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซีย ลงทุน 11,000 ล้านบาท (โดยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลงทุนร่วมกับผู้ร่วมทุนชาวอินโดนีเซีย)
 
สำหรับโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ครบวงจร กำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี ที่ West Java เกาะชวา ซึ่งเป็นเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย และเป็นแหล่งที่มีวัตถุดิบหลักในการผลิต คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในกลางปี 2558 โครงการนี้จะลงทุนผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้ง ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยและช่วยลดการซื้อไฟฟ้าจากแหล่งภายนอกได้อีกด้วย ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซียในปี 2555 จะอยู่ที่ 54 ล้านตัน และจะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5-10 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า อีกทั้งโครงการขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชา ลงทุน 5,500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์สายการผลิตที่ 2 กำลังการผลิต 900,000 ตันต่อปี คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในกลางปี 2558 โดยสายการผลิตที่ 2 จะก่อสร้างอยู่ภายในบริเวณเดียวกับสายการผลิตที่ 1 ของกัมปอตซิเมนต์ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งแรกในประเทศกัมพูชา (มีกำลังการผลิต 1 ล้านตันต่อปี) โดยได้เริ่มดำเนินการผลิตมาตั้งแต่กลางปี 2550 ทั้งนี้ คาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศกัมพูชาในปี 2555 จะอยู่ที่ 2.9 ล้านตัน และจะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 5-10

โดยในช่วง 10 ปีข้างหน้า โครงการขยายกำลังการผลิตกระดาษอุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์ในประเทศไทย ลงทุน 6,700 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตกระดาษอุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์อีกประมาณ 400,000 ตันต่อปีในประเทศไทย (จังหวัดราชบุรี และกาญจนบุรี) ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตกระดาษอุตสาหกรรม และบรรจุภัณฑ์ ของ SCC ในอาเซียน (ประเทศฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม) รวมทั้งสิ้น 2.3 ล้านตันต่อปี
 
ทั้งนี้ คาดว่าการขยายกำลังการผลิตจะแล้วเสร็จในปี 2557 ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในอาเซียนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วได้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องกับอาหาร และสินค้าโภคภัณฑ์ที่ต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อรองรับการเติบโตของผู้บริโภค การรายงานสารสนเทศข้างต้นไม่เข้าข่ายที่จะต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเรื่องการได้มา หรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และไม่ใช่รายการที่เกี่ยวโยงกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น