xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กโคล่า” บุกตลาดเบียร์ไทย ทุ่ม 3 พันล้านผุด รง.-ขน 4 แบรนด์ลุย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เฮอร์นัน คอโดว่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมบิ๊กโคล่า
ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดเบียร์ไทยระอุ “อาเจ” สยายปีกลุยเบียร์อีก 3 ปี จ่อทุ่ม 3พันล้านบาทผุดโรงงานเบียร์ ขน 4 แบรนด์ “Fraca-Club-Tres Cruces-Caral” ท้าชนยักษ์ใหญ่เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ตั้งเป้า 5 ปี ผงาดเป็นอันดับ 2 ตลาดน้ำอัดลมในไทย กวาดรายได้ 1 หมื่นล้านบาท

นายเฮอร์นัน คอโดว่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมบิ๊กโคล่า เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนขยายไลน์สินค้าในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และเป้าหมาย 2-3 ปีวางไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อส่งออกในอาเซียน จากปัจจุบันในประเทศไทยมีสินค้าทั้งหมด 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำอัดลมบิ๊กโคล่า น้ำดื่มเซียโร่ ชาเขียวคูลที และเกลือแร่สปอร์ตเรท  

ส่วนธุรกิจใน 20 ประเทศทั่วโลก มีโรงงานผลิตสินค้าทั้งหมด 22 แห่ง และมีสินค้าทั้งหมด 15 แบรนด์ หรือ 25 รายการ ซึ่งมีกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเบียร์ที่บริษัทต้องการทำตลาดในประเทศไทย หลังจากก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวเบียร์ในประเทศโคลอมเบียเป็นแห่งแรกเมื่อปี 2550 

ล่าสุดบริษัทเตรียมงบ 3,000 ล้านบาทสร้างโรงงานผลิตเบียร์ปี 2558 เพื่อรุกตลาดเบียร์ในไทยซึ่งมีมูลค่า 9 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทมีเบียร์ทั้งหมด 4 แบรนด์ ได้แก่ เบียร์ Fraca ระดับพรีเมียมและเป็นเบียร์ที่มียอดขายมากที่สุดเมื่อเทียบกับเบียร์อีก 3 แบรนด์ของบริษัท ได้แก่ Club เป็นเบียร์ระดับพรีเมียม เบียร์ Tres Cruces และเบียร์ Caral โดยจะทำตลาด 4 แบรนด์ในไทย ซึ่งตำแหน่งของเบียร์ทั้งหมดใกล้เคียงกับเบียร์ช้าง และเบียร์สิงห์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตัดสินใจเข้ามาทำตลาดเบียร์ของอาเจส่งผลให้ตลาดเบียร์ในประเทศไทยแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้น จากปัจจุบันมีเพียงทั้งหมด 4 ค่ายเบียร์ ได้แก่ กลุ่มไทยเบฟของเสี่ยเจริญ  สิริวัฒนภักดี กลุ่มเบียร์สิงห์ กลุ่มไฮเนเก้น และซานมิเกลเท่านั้น และล่าสุดเบียร์สิงห์กำลังจะร่วมทุนกับเบียร์คาร์ลสเบอร์กเพื่อเข้ามาทำตลาดไทย เพราะไทยเป็นตลาดที่ใหญ่และยังมีช่องว่างการตลาด เพราะมีแค่เซกเมนต์พรีเมียม สแตนดาร์ด อีโคนีมีเท่านั้น ดังนั้นจึงมองว่าสามารถขยายตลาดได้อีกมาก หากสร้างตลาดด้วยเซกเมนต์เบียร์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
โรงงานผลิตเครื่องดื่มของอาเจไทย
นายเฮอร์นันกล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของบริษัทที่ทำให้ประสบความสำเร็จการทำตลาดน้ำอัดลมกระทั่งเป็นอันดับ 4 ของโลก และเป็นอันดับ 10 ของโลกจากการดำเนินธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่ม  คือราคาสินค้าคุ้มค่าคุ้มราคาและมีคุณภาพ และส่งผลให้การทำตลาดเบียร์มากว่า 5 ปีบริษัทมีรายได้ทั่วโลกสัดส่วน 5% โดยปัจจุบันเบียร์ของบริษัทผลิตในประเทศเปรูและส่งออกไปที่โคลอมเบีย เม็กซิโก เอกวาดอร์ สเปน และในทวีปอเมริกาอยู่ในไมอามี และนิวยอร์กภายใต้แบรนด์ Fraca

นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนสร้างโรงงานผลิตเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์แห่งที่ 2 ด้วยการใช้งบ 1,500 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิต 20-25% จากปัจจุบันโรงงานแห่งแรกที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะมีกำลังการผลิต 2.5 ล้านขวดต่อวัน คาดว่าจะสรุป 2-3 เดือนนี้ถึงสถานที่ตั้งโรงงานที่ภาคเหนือหรืออีสานเพื่อรองรับการขยายไลน์เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ใหม่ปีหน้าในประเทศไทย และการส่งออกในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว พม่า มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งขณะนี้สัดส่วนการส่งออกอยูที่ 5-10% เท่านั้น  

สำหรับเป้าหมายการทำตลาดในประเทศไทย บริษัทตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับ 2 ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือมีรายได้ 10,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 20-25% จากการเติบโต 5-7% 

ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ 4,000 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 16.6% เป็น 18-19% เป็นอันดับ 3 ของตลาดรองจากเป๊ปซี่ และโค้ก ซึ่งผลัดกันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 43-45% ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้ 14% เมื่อเทียบกับรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท แม้ไทยจะมีน้ำดำแบรนด์ที่ 4 เข้าตลาดเร็วๆ นี้ก็ตามก็ไม่หวั่น เพราะยังมีช่องว่างตลาด พร้อมกับการขยายตัวแทนจำหน่ายในรูปแบบขายส่งเพิ่มขึ้นในต่างจังหวัด โดยปัจจุบันอาเจอยู่อันดับ 10 ของผู้ทำตลาดเครื่องดื่มระดับโลก มีส่วนแบ่ง 0.5% ขณะที่โค้กเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่ง 23.1% เป๊ปซี่ 10.7% ดาน่อน 5%
กำลังโหลดความคิดเห็น