xs
xsm
sm
md
lg

MBET ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปี 56 เพิ่มเป็น 12-13% จาก 11.86% ในปี 55

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


MBET ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปี 56 เพิ่มเป็น 12-13% จาก 11.86% ในปี 55 โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 บัญชี

นายบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งขยายฐานลูกค้ารายย่อยออกไป โดยมุ่งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด เป็น 12-13% จาก 11.86% โดยตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในด้านธุรกรรมออนไลน์ให้มาอยู่ที่ระดับ 25% และขยายฐานลูกค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,000 บัญชี

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการเตรียมการที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีก 3-4 สาขา เพื่อเป็นฐานในการช่วยขยายตลาด โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นกิจกรรมด้านการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนมากขึ้นในด้านการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นด้วยการสนับสนุนของกลุ่มธนาคารเมย์แบงก์ บริษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นที่ค่อนข้างสูงกว่าเมื่อก่อนมาก โดยมีการควบคุมดูแลทีละกลุ่ม และมีความเสี่ยงน้อยมาก ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นถึง 1.2 หมื่นล้านบาท

ทางด้านธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทฯ มีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์เป็นระยะๆ และมีเป้าหมายที่จะออกในปี 56 ไม่น้อยกว่า 100 สัญญา นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเตรียมการที่จะออกตราสารประเภทหุ้นกู้อนุพันธ์ เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุน และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเป็นผู้แทนจำหน่ายตราสารดังกล่าวจากสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจะให้บริการซื้อขายอนุพันธ์ในต่างประเทศ โดยจะร่วมมือกับกลุ่มเมย์แบงก์ในการพัฒนาระบบงาน และดำเนินงาน โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) เปิดเผยว่า เป้าหมายของกลุ่มเมย์แบงก์ กิมเอ็ง คือ การก้าวสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคอาเซียนภายในปี 58 บริษัทฯ จึงมีแผนธุรกิจที่จะพัฒนาในหลากหลายด้าน ทั้งธุรกิจหลักทรัพย์ และวาณิชธนกิจ โดยในปี 55 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 3.23 พันล้านบาท และมีกำไรสูงถึง 738 ล้านบาท คิดเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้น 12.87% โดยความสำเร็จหลักส่วนใหญ่มาจากรายได้ในสายงานธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 90% ดอกเบี้ยรับ 5% และวาณิชธนกิจ 3%

ปัจจุบัน บริษัทเป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับสูงสุด โดยมีส่วนแบ่งตลาด ณ สิ้นปี 55 อยู่ที่ 11.86% และเมื่อดูส่วนแบ่งตลาดในเดือนมกราคม 56 ได้ขยับเพิ่มขึ้นสูงเป็น 12.5% โดยแบ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศ 17% นักลงทุนสถาบันในประเทศ 4-4.5% และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศอีก 2-2.5% คิดเป็นฐานลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทฯ ประมาณ 1.2 แสนบัญชี โดยเป็นนักลงทุนที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณครึ่งหนึ่ง และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 แสนบัญชี

ด้านสายงานวาณิชธนกิจที่ให้บริการด้านที่ปรึกษาทางการเงิน และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการเดินไปได้ดีตั้งแต่ต้นปี โดยกำลังจะมีการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 5-7 บริษัท และมีกองทุน Infrastructure Fund ประมาณ 2-3 บริษัท และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทรัสต์เพื่ออสังหาริมทรัพย์ 2-3 บริษัท โดยมีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมดกว่า 1 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มเมย์แบงก์มีการสนับสนุนงานด้าน Global Wholesale Banking ซึ่งมีความพร้อม และแข่งขันได้มากในการปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทไทยที่จะลงทุนในต่างประเทศ จะเห็นได้จากในปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ปล่อยเงินกู้ให้แก่กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ (THAIBEV) สูงถึง 500 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 12.5 หมื่นล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น