“กกร.” จี้รัฐบาลเร่งออกกฎหมาย 2 ฉบับปราบปรามฟอกเงินและก่อการร้าย หวั่นไม่ทัน 1 ก.พ. 56 ที่จะมีประชุม FATF ซึ่งไทยอาจถูกขึ้นบัญชีดำได้ หลัง IMF บี้ไทยจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่ทำธุรกรรมเข้าข่ายฟอกเงินแต่ไทยนิ่งเฉย ชี้หากไทยโดนแซงก์ชันเศรษฐกิจพังแน่
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร.ต้องการให้ภาครัฐเร่งพิจารณาออกกฎหมาย 2 ฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ป้องกันและสนับสนุนทางการเงินเพื่อการก่อร้าย โดยเร็วที่สุดก่อนประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน หรือ FATF ((The Financial Action Task Force) ที่จะมีขึ้นวันที่ 1 ก.พ. 56 ซึ่งหากไม่ทันไทยอาจถูกขึ้นบัญชีดำ(Black List) ฟอกเงินและสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศให้เสียหายอย่างหนักโดยเฉพาะภาคส่งออก ตลาดเงิน และตลาดทุน
นายธวัธชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ขณะนี้ไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่เฝ้าระวังสูงสุดไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงินในการป้องกัขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ ซึ่งไทยต้องออกกฎหมายดูแล 2 ฉบับ โดยล่าสุด พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินกำลังเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 จากสภาผู้แทนราษฎร ส่วน พ.ร.บ.ป้องกันและสนับสนุนทางการเงินเพื่อก่อการร้ายยังไม่ผ่านกระบวนการพิจารณา
ทั้งนี้ หากไทยถูกขึ้นบัญชีดำจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 3 ระดับ ดังนี้ 1. แบงก์ต่างประเทศจะขอข้อมูลจากไทยก่อนรับโอนเงิน หรือคู่ค้าที่ทำธุรกิจก่อนโอนเงินมาให้จะเช็กว่าผู้รับเงินเป็นใคร ดูว่าบริษัทที่รับโอนเงินมีผู้ถือหุ้นเป็นใครที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรือไม่ ปัญหานี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายสูง และจะได้เงินล่าช้ากระทบการส่งออกรุนแรง 2. กำหนดให้ไทยมีข้อมูลอัตโนมัติรายงานตรงไปยังคณะกรรมการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF 3. ขั้นรุนแรงคือระงับให้ประเทศสมาชิก FATF ที่มีราว 40 ประเทศระงับการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดหรือแซงก์ชันไทย
“เรากำลังได้รับผลกระทบแล้ว โดยธนาคารช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาของฝรั่งเศสคือ AFD งดช่วยเหลือโครงการที่ส่งเสริมเอกชนดูแลด้านสิ่งแวดล้อม และล่าสุดเจ้าหน้าที่ทูตบางประเทศไม่สามารถรับโอนเงินจากไทยได้เพราะกลัวถูกสอบย้อนหลังถึงที่มาของแหล่งเงิน ซึ่งปัญหานี้หากปล่อยไว้จะเป็นเรื่องใหญ่มากและคนที่เดือดร้อนคือคนไทยทุกคน” นายธวัธชัยกล่าว