ทิปโก้ปรับแม่ทัพใหม่ ลั่นไม่รอเออีซีเปิดอีก 3 ปี เร่งสยายปีกบุกตลาดอาเซียน วางหมาก 2 ปีกวาดรายได้เพิ่ม 20% ชูจุดแข็งมีฐานการผลิตซันโทรี่ในอาเซียน รับศึกษาผุดโรงงานอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ พร้อมโฟกัสสินค้าเรือธง “น้ำผลไม้ น้ำแร่ ชาเขียว” เดินเกมอัดกลยุทธ์การตลาดครบเครื่อง หวังปั้นมิเรอิกวาดแชร์ 10-15% โชว์ครึ่งปีแรกโตเป็นตัวเลขสองหลัก
นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ทิปโก้ กล่าวถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัททิปโก้ฟูดส์ หลังจากเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทน นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล เมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ว่า ยุทธศาสตร์ของบริษัทโฟกัสการทำธุรกิจตลาดอาเซียนในเชิงรุกมากขึ้นในช่วง 2-3 ปี โดยจะไม่รอให้เขตเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าเปิดแล้วค่อยบุกตลาด โดยบริษัทจะใช้ฐานการผลิตของบริษัทซันโทรี่ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ซึ่งมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่บริษัททิปโก้จะเป็นผู้วางกลยุทธ์การตลาด
พร้อมกันนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาการตั้งโรงงานในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือกระทั่งในอินโดจีน อาทิ เวียดนาม เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการขยายตัวตลาดอาเซียน โดยบริษัทโฟกัสการทำตลาดน้ำผลไม้เป็นหลัก เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใส่ใจสุขภาพ จากที่ผ่านมาทิปโก้เข้าไปทำตลาดอาเซียนร่วม 10 ประเทศ มีสัดส่วนรายได้ 10% คาดว่าภายใน 2 ปี หรือปี 2557 รายได้จะเพิ่มเป็น 20% และวางเป้าหมายเป็นแบรนด์ระดับสากลในอนาคต
นายเอกพลกล่าวต่อถึงการทำตลาดภายในประเทศ นโยบายของบริษัทโฟกัสกลุ่มน้ำผลไม้ทิปโก้ 100% ซึ่งเป็นสินค้าเรือธง โดยปัจจุบันครองส่วนแบ่ง 50% ของตลาดน้ำผลไม้แท้ 100% จากมูลค่า 3,000 ล้านบาท น้ำแร่ออร่า แม้ว่าจะครองส่วนแบ่ง 30% แต่ยังเป็นแบรนด์ที่ไม่ค่อยมีการสื่อสารการตลาดมากนัก ทำให้จากนี้ต้องเน้นการสื่อสารให้มากขึ้น โดยในกลุ่มน้ำผลไม้และน้ำแร่ปีนี้ใช้งบ 200 ล้านบาท และชาเขียวพร้อมดื่มมิเรอิ เน้นการทำตลาดเป็นชาเขียวเพื่อสุขภาพสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ในปีหน้าจะมีรสชาติใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่งตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 5% เป็น 10-15%
“หลังจากเปิดตัวชาเขียวมิเรอิไป ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้กำลังผลิตไม่เพียงพอความต้องการของตลาด และล่าสุดได้เปิดตัวบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีลงสู่ตลาด”
นโยบายในเชิงรุกหลังจากเข้ามารับตำแหน่ง นายเอกพลกล่าวว่า ในด้านผลิตภัณฑ์จะมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ทิปโก้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผลไม้และน้ำผลไม้ ด้านผู้บริโภคจะเร่งขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น และเป็นแบรนด์ที่นั่งอยู่ในใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการจัดกิจกรรมธีมเพื่อสุขภาพ ด้านบุคลากร มีการทำงานเป็นทีมระหว่างฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กับทีมการตลาด เพื่อพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ให้สอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคทุกวัย ทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ รวมถึงขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กว้างขึ้น มองหาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ จับมือร่วมกับพันธมิตรทางการค้า และให้ความสำคัญต่อการสื่อสารการตลาดมากขึ้น จากเดิมที่ใช้เฉพาะสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นหลัก โดยจะนำโซเชียลมีเดียมาใช้เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และคาดว่าสิ้นปีนี้โตเป็นตัวเลขสองหลัก จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 5,000 ล้านบาท โดยรายได้แบ่งเป็นน้ำผลไม้ทิปโก้ 70% น้ำแร่ 20% และชาเขียว 10% ทั้งนี้ นายเอกพลได้กล่าวทิ้งท้ายในฐานะนั่งแท่นกรรมการผู้จัดการคนใหม่ว่า ตลาดน้ำผลไม้ยังเติบโตได้อีกมากถึง 10 เท่าตัว โดยขณะนี้ตลาดมีมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาทเท่านั้น
นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ทิปโก้ กล่าวถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัททิปโก้ฟูดส์ หลังจากเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทน นายวิวัฒน์ ลิ้มศักดากุล เมื่อเดือนพฤษภาคมนี้ว่า ยุทธศาสตร์ของบริษัทโฟกัสการทำธุรกิจตลาดอาเซียนในเชิงรุกมากขึ้นในช่วง 2-3 ปี โดยจะไม่รอให้เขตเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าเปิดแล้วค่อยบุกตลาด โดยบริษัทจะใช้ฐานการผลิตของบริษัทซันโทรี่ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน ซึ่งมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียน ขณะที่บริษัททิปโก้จะเป็นผู้วางกลยุทธ์การตลาด
พร้อมกันนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาการตั้งโรงงานในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือกระทั่งในอินโดจีน อาทิ เวียดนาม เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการขยายตัวตลาดอาเซียน โดยบริษัทโฟกัสการทำตลาดน้ำผลไม้เป็นหลัก เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ใส่ใจสุขภาพ จากที่ผ่านมาทิปโก้เข้าไปทำตลาดอาเซียนร่วม 10 ประเทศ มีสัดส่วนรายได้ 10% คาดว่าภายใน 2 ปี หรือปี 2557 รายได้จะเพิ่มเป็น 20% และวางเป้าหมายเป็นแบรนด์ระดับสากลในอนาคต
นายเอกพลกล่าวต่อถึงการทำตลาดภายในประเทศ นโยบายของบริษัทโฟกัสกลุ่มน้ำผลไม้ทิปโก้ 100% ซึ่งเป็นสินค้าเรือธง โดยปัจจุบันครองส่วนแบ่ง 50% ของตลาดน้ำผลไม้แท้ 100% จากมูลค่า 3,000 ล้านบาท น้ำแร่ออร่า แม้ว่าจะครองส่วนแบ่ง 30% แต่ยังเป็นแบรนด์ที่ไม่ค่อยมีการสื่อสารการตลาดมากนัก ทำให้จากนี้ต้องเน้นการสื่อสารให้มากขึ้น โดยในกลุ่มน้ำผลไม้และน้ำแร่ปีนี้ใช้งบ 200 ล้านบาท และชาเขียวพร้อมดื่มมิเรอิ เน้นการทำตลาดเป็นชาเขียวเพื่อสุขภาพสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ในปีหน้าจะมีรสชาติใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ซึ่งตั้งเป้ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 5% เป็น 10-15%
“หลังจากเปิดตัวชาเขียวมิเรอิไป ปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้กำลังผลิตไม่เพียงพอความต้องการของตลาด และล่าสุดได้เปิดตัวบรรจุภัณฑ์ยูเอชทีลงสู่ตลาด”
นโยบายในเชิงรุกหลังจากเข้ามารับตำแหน่ง นายเอกพลกล่าวว่า ในด้านผลิตภัณฑ์จะมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ทิปโก้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องผลไม้และน้ำผลไม้ ด้านผู้บริโภคจะเร่งขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น และเป็นแบรนด์ที่นั่งอยู่ในใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการจัดกิจกรรมธีมเพื่อสุขภาพ ด้านบุคลากร มีการทำงานเป็นทีมระหว่างฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กับทีมการตลาด เพื่อพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ให้สอดคล้องความต้องการของผู้บริโภคทุกวัย ทั้งเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ รวมถึงขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กว้างขึ้น มองหาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ จับมือร่วมกับพันธมิตรทางการค้า และให้ความสำคัญต่อการสื่อสารการตลาดมากขึ้น จากเดิมที่ใช้เฉพาะสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นหลัก โดยจะนำโซเชียลมีเดียมาใช้เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และคาดว่าสิ้นปีนี้โตเป็นตัวเลขสองหลัก จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 5,000 ล้านบาท โดยรายได้แบ่งเป็นน้ำผลไม้ทิปโก้ 70% น้ำแร่ 20% และชาเขียว 10% ทั้งนี้ นายเอกพลได้กล่าวทิ้งท้ายในฐานะนั่งแท่นกรรมการผู้จัดการคนใหม่ว่า ตลาดน้ำผลไม้ยังเติบโตได้อีกมากถึง 10 เท่าตัว โดยขณะนี้ตลาดมีมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาทเท่านั้น
