บิ๊กโคล่าลั่นกลองรบท้าชนเจ้าน้ำดำ หวัง 5 ปีขึ้นแท่นเบอร์ 2 ล่าสุดคิดใหญ่ปรับโฉมรีแบรนดิ้งทั่วโลก ทุ่ม 500 ล้านบุกหนักเอเชีย ชูมูฟวีมาร์เกตติ้งเสริมทัพ โฟกัสช่องทางขายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากขึ้น มั่นใจสิ้นปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
นายฆอร์เก้ โลเปซ ดอริกา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำอัดลม “บิ๊กโคล่า” เปิดเผยว่า บิ๊กโคล่าเข้าสู่ตลาดมากว่า 12 ปีในฝั่งละตินอเมริกา ล่าสุดในปีนี้ทางบริษัทได้มีการรีแบรนดิ้งแบรนด์ บิ๊กโคล่าใหม่ เพื่อให้ตรงกลุ่มผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วตามสถานการณ์โลก ภายใต้แนวคิด “Think Big” ในการก้าวสู่ยุคใหม่ของบิ๊กโคล่า และเพื่อรุกตลาดน้ำอัดลมทั่วโลก โดยได้เริ่มรีแบรนดิ้งไปแล้วในละตินอเมริกาเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา และในช่วงเดือนมิถุนายนนี้จะเริ่มรีแบรนดิ้งในเอเชีย ทั้งในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย ภายใต้งบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้นำกลยุทธ์มูฟวีมาร์เกตติ้งเพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์บิ๊กโคล่าในตลาด ด้วยการเซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรทางการตลาดกับบริษัท โซนี่ พิคเจอร์ เจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน” โดยจะมีการผลิตขวดบิ๊กโคล่ารุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน คอลเลกชันดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน ออกวางจำหน่าย 8 แบบด้วยกัน เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 1 มิถุนายนนี้ พร้อมโปรโมชันพิเศษด้วยการแจกบัตรชมภาพยนตร์ ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน ฟรี 10,000 ที่นั่ง เริ่ม 29 มิถุนายนนี้
สำหรับบิ๊กโคล่า ปัจจุบันในประเทศกลุ่มละตินอเมริกากำลังก้าวขึ้นสู่อันดับ 2 และ 3 ของประเทศนั้นๆ ขณะที่ในส่วนของยอดขายและอัตราการเติบโตนั้น ขณะนี้ไทยถือเป็นประเทศที่มียอดขายและอัตราการเติบโตเป็นอันดับหนึ่งของบิ๊กโคล่าทั่วโลก แซงเม็กซิโกเมื่อไม่นานมานี้ โดยในแง่ของการเติบโตของไทยใน 4 เดือนที่ผ่านมานั้น พบว่าเติบโตขึ้นถึง 40% ส่วนอินเดียเติบโต 300% อินโดนีเซียเติบโต 400% และเวียดนามโต 30%
ดังนั้น แผนการดำเนินงานของบิ๊กโคล่า ได้ตั้งเป้าว่าภายในปี 2020 อาเจจะต้องเป็น 1 ใน 10 ของบริษัทข้ามชาติที่ดีที่สุดในโลก เริ่มจากแผนในปีนี้ที่จะโฟกัสการดำเนินงานในเอเชีย และบราซิล เป็นหลัก เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเติบโตที่น่าสนใจ ทั้งบราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ด้วยจำนวนประชากรที่สูงถึง 1.6 พันล้านคน ซึ่งในขณะนี้เตรียมที่จะลงทุนด้านโรงงานเพิ่มที่จังหวัดสุราบายา ประเทศอินโดนีเซียแล้ว ส่วนในลาว และกัมพูชา เริ่มบุกตลาดบ้างแล้ว โดยใช้ไทยและเวียดนามเป็นฐานการผลิต
ด้านนายวิทยา ลิมปิวัฒนาภรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจไทย จำกัด กล่าวต่อว่า ภายหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งนี้ ได้โฟกัสในเรื่องของช่องทางการขายเป็นหลัก จากเดิมในกรุงเทพฯ ที่บิ๊กโคล่าครอบคลุมร้านค้าย่อยได้ราว 60% ต้องการเพิ่มเป็น 70% ส่วนในต่างจังหวัดครอบคลุม 70% ต้องการเพิ่มเป็น 90% ให้เท่ากับเป๊ปซี่ และโค้ก จากจำนวนร้านค้าย่อยทั่วประเทศทั้งหมดกว่า 400,000 ร้าน เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ยอดขายของบิ๊กโคล่าเติบโตขึ้นได้เป็นอย่างดี หรือในสิ้นปีนี้มั่นใจว่าจะมียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% แต่ภายใน 5 ปีหลังจากนี้จะก้าวขึ้นเป็นอันดับสองของตลาดได้
