“กิตติรัตน์” แจงความพร้อมรับจำนำข้าว ลั่นเดินหน้าตามแผนเดิม 7 ต.ค.นี้ แม้จะประสบปัญหาน้ำท่วมหลายจังหวัด นาข้าวเสียหาย 4 ล้านไร่ เตรียมจ่ายเงินเยียวยา พร้อมจับตาใกล้ชิด มั่นใจไม่มีการทุจริต-สวมสิทธิ์ เพราะตรวจสอบได้ และอยู่ในสายตาสังคม ทั้งยังมีทีมตรวจสอบถึง 15 ชุด “หม่อมอุ๋ย” แฉช่องทางซิกแซกหากินออกใบประทวนปลอม เชื่อปัญหาทุจริตไม่หมดโดยง่าย พร้อมยอมรับ ติดตามเรื่องนี้ด้วยความทุกข์ใจ ต้องทนมองนักการเมืองบางคนที่ไร้คุณธรรม ผลักดันโครงการที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ประเทศชาติครั้งใหญ่ที่สุด โดยไม่สามารถจะหยุดยั้งได้
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการเปิดรับจำนำข้าว โดยยืนยันว่ รัฐบาลมีความพร้อมในการดำเนินโครงการตามกำหนดเดินในวันที่ 7 ตุลาคม 2554 นี้ แม้จะมีปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดจนมีพื้นที่ปลูกข้าวเสียหายถึง 4 ล้านไร่ โดยขณะนี้กำลังศึกษาแนวทางที่จะยืดเวลาการรับจำนำออกไปอีก เพื่อให้ชาวนาที่ถูกน้ำท่วมและสามารถฟื้นฟูได้มีโอกาสนำข้าวมาเข้าโครงการรับจำนำได้ทัน
ขณะเดียวกัน ชาวนาที่เสียหายจากน้ำท่วมจะได้รับการเยียวยาด้วยเงินชดเชยตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ได้มีมติอนุมัติไปแล้ว ซึ่งจากเหตุการณ์น้ำท่วมหนัก อาจจะทำให้ไม่มีข้าวมาจำนำมากนัก รัฐบาลจะดูแลไม่ให้มีปัญหา ทั้งในด้านราคาและปริมาณข้าวในตลาด โดยจะทำโครงการข้าวถุงธงฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้มีทีมตรวจสอบถึง 15 ชุด จากตัวแทนหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบการนำข้าวเปลือกจากต่างประเทศมาสวมสิทธิ์ เพราะถือว่าสำคัญมาก เพราะจะกระทบต่อพันธุ์ข้าวของไทยที่มีคุณภาพดีกว่า
ส่วนข้อกังวลที่ว่าจะมีการสวมสิทธิ์เกษตรกรที่ถูกน้ำท่วมนั้น นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ระบบการชดเชยพื้นที่นาข้าว ที่เสียหายไร่ละ 2,222 บาทต่อไร่ จะทำให้ปัญหานี้น้อยลง เพราะจะทำให้ตรวจสอบข้อมูลเกษตรกรได้ อย่างไรก็ตาม โครงการรับจำนำครั้งนี้อยู่ในสายตาของสื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงเชื่อว่าจะมีหลายคนช่วยตรวจสอบและรัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากการศึกษาข้อมูลสถิติโครงการรับจำนำข้าว 30 ปีย้อนหลัง พบว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2554/2555 ซึ่งรัฐบาลประกาศว่าจะรับจำนำข้าวนาปีทั้งหมด แต่เชื่อว่าคงต้องรับจำนำข้าวนาปรังด้วยนั้น คาดว่าจะมียอดการผลิตข้าวนาปีและนาปรังมากกว่า 32 ล้านตัน
แต่จากปัญหาอุทกภัย อาจทำให้ผลผลิตลดเหลือประมาณ 30 ล้านตัน และจากการที่กำหนดราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดมาก จึงน่าจะมีผู้นำข้าวมาจำนำไม่น้อยกว่า 90% หรือ 27 ล้านตัน อย่างไรก็ตาม การที่รัฐต้องถือข้าวจำนวนมหาศาล จะส่งผลให้ราคาตกต่ำ รวมถึงผลกระทบจากความล่าช้าในการระบายข้าว จะส่งผลให้ข้าวเสื่อมคุณภาพ และราคาตกต่ำเช่นกัน
“ผมยังเชื่อว่าการออกใบประทวนปลอม และการร่วมมือระหว่างนักการเมืองกับพ่อค้า ในการประมูลซื้อข้าวจากหน่วยงานของรัฐ คงหมดไปได้ยาก ดังนั้นยอดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นจึงไม่น่าจะเป็นเพียง จำนวนรับจำนำ 27 ล้านตัน คูณด้วยผลต่างของราคาจำนำกับราคาตลาด ที่ตันละ 5,000 บาท หรือ 135,000 ล้านบาท แต่คงจะมากกว่านี้ แต่เชื่อว่าเมื่อรวมความเสียหายจากทุกสาเหตุคงไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนล้านบาท”
ส่วนการที่รัฐบาลจะผลักดันราคาในตลาดโลกให้สูงขึ้นในปีหน้านั้น ไม่น่าจะดำเนินการได้ เพราะผลผลิตข้าวแหล่งอื่นๆ ไม่ได้ลดลง และผลผลิตข้าวสาลีของโลกในช่วงนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งจะฉุดราคาข้าวทางอ้อม
ทั้งนี้ การที่ข้าวเกือบทั้งหมดในตลาดอยู่ในมือรัฐบาล จะส่งผลให้เอกชนไม่มีข้าวสำหรับค้าขายและส่งออก ต้องรอการขายข้าวจากรัฐบาล และจะไม่ทันประเทศคู่แข่งเช่น เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้คู่แข่งแย่งตลาด และจะส่งผลต่อปริมาณการส่งออก
ส่วนแผนการระบายข้าวที่ระบุว่าจะใช้ระบบหมุนเวียนระบายทันทีที่รับจำนำ จะไม่ช่วยแก้ปัญหา เพราะตลาดรับรู้ว่าไทยต้องการขายข้าวจึงรอกดราคา วิธีการนี้จึงไม่ได้แก้ปัญหา และไม่ทำให้ภาพรวมการระบายข้าวรัฐได้กำไร เมื่อเทียบกับมูลค่าที่รับจำนำมาจากชาวนาเฉลี่ยตันละ 15,000 บาท แต่เมื่อขายออกคงจะขาดทุนอย่างต่ำ 1.5 แสนล้านบาท เพราะจากการพิจารณาสถิติ ในช่วงปี 2524/2525 จนถึงปี 2547 พบว่า ราคารับจำนำไม่เคยสูงกว่าราคาตลาด
“ผมติดตามเรื่องนี้ด้วยความทุกข์ใจว่า จะต้องทนมองนักการเมืองบางคนที่ไร้คุณธรรม ผลักดันโครงการที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทางการเงินแก่ประเทศชาติครั้งใหญ่ที่สุด โดยไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ แต่ยังมีความหวังอยู่ที่บุคคลสองคนที่ผมรู้จักพื้นเพพอควร และเป็นสองคนที่โดยหน้าที่ต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนโครงการนี้ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากการติดตามสถานการณ์ทราบว่ารัฐมนตรีทั้งสองคน ไม่ได้เป็นต้นคิด แต่ผู้ที่ผลักดันเป็นระดับเฮฟวีเวตของพรรคที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถทำงานการเมืองได้”
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าโครงการนี้สามารถแก้ไขได้ ส่วนวิธีการแก้ไขนั้น ต้องถามว่าพร้อมจะดำเนินการหรือไม่ เพราะมีวิธีการที่จะทำให้ชาวนามีรายได้ดี ยังคงระบบการค้าเสรีไว้ ป้องกันเหลือบมาเกาะหลังชาวนา จะเห็นว่าในต่างประเทศไม่ใช้ทั้งวิธีจำนำหรือประกันรายได้