xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จำนำข้าวร่อแร่ เพื่อไทยรุ่งริ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กิติติรัตน์ ณ ระนอง
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาทันที เมื่อรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมการที่จะรับจำนำข้าวที่ออกมาจากนาปีทั้งหมด ซึ่งเป็นปริมาณสูงถึง 27 ล้านตัน ในราคาที่สูงกว่าตลาดมากเป็นประวัติการณ์ กล่าวคือ สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันประมาณ 5,000 บาท ต่อตัน

เนื่องจากบรรดากูรูทั้งหลายต่างดาหน้ากันออกมาวิพากษ์วิจารณ์พร้อมสั่งสอนถึงมาตรการ และความ "ไม่ประสีประสา" ของ "เดอะโต้ง" นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ยิ่งเข้าใกล้เส้นตายวันเริ่มโครงการคือวันที่ 7 ตุลาคมนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทวีความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องเพราะยังไม่มีหลักรับประกันใดๆ ว่า นโยบายนี้จะป้องกันการโกงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างไร และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงเป็น "ชาวนา" หรือ "พ่อค้าโรงสี" กันแน่ !

แถมเมื่อตรวจสอบความพร้อมก็ยิ่งน่าขนหัวลุกเข้าไปใหญ่เพราะทุกองคาพยพของนโยบายยังลูกผีลูกคน ไม่ว่าจะเป็นการออกใบรับรองให้กับชาวนา 3 ล้านครัวเรือนบนที่นา 57 ล้านไร่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำได้เพียง 6 แสนครัวเรือนและ 11.8 ล้านไร่เท่านั้น ขณะที่การจัดทำบัตรเครดิตชาวนาที่ต้องดำเนินการต่อเนื่องมาก็ถูกตั้งข้อสังเกตถึงการประมูลระบบมูลค่าพันล้านบาทว่ามีปัญหา ไหนจะการคัดเลือกโรงสี ร้านขายยาร้านขายปุ๋ยก็ยังไม่ได้คืบคลานไปถึงไหน ยิ่งเมื่อ "หม่อมอุ๋ย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่ายยาวแสดงความเห็นท้วงติงรัฐบาลเสียชุดใหญ่

กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยมาโดยตลอด ทุกรัฐบาลต้องขาดทุนจำนวนมากจึงไม่สมควรจะนำมาใช้อีกแม้โครงการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร แต่ความเสียหายที่ตามมามีมากกว่า และขั้นตอนการดำเนินงานมีปัญหาการทุจริตเกิดขึ้นอย่างมาก

พร้อมกันนั้นหม่อมอุ๋ยได้ยิ่งหมัดเด็ดเข้าใส่ด้วยว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้คือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบงาน ไม่ได้คิดโครงการนี้ ผู้ผลักดันโครงการนี้อยู่เบื้องหลัง เป็นระดับเฮฟวีเวตของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่อยู่ในประเทศไทยกำลังจะยืมมือให้ทำสิ่งที่เป็นหายนะกับประเทศ

เรียกว่าฉายภาพความเป็นจริงไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะต้องบอกว่าโครงการรับจำนำข้าวในอดีต ก็มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ ผุดมาให้เห็นอยู่ตลอด

และหากจะไม่เป็นการเสียเวลานัก ก็คงต้องย้อนภาพเตือนความจำกันเสียหน่อย ที่ลืมเสียไม่ลงก็คือ รัฐบาลชุดพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังเคยมีชนักติดหลังมาแล้วเช่นกัน เมื่อปรากฏว่าบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ไม่ได้รับมอบข้าวตามกำหนดเวลา จึงมีการเลิกสัญญา ผลร้ายก็คือบริษัท เพรซิเดนท์ฯ เป็นหนี้ธนาคาร 9 แห่งกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท และมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานฉ้อโกงทรัพย์

อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ประชาชนหวั่นเกรงได้อย่างไรว่าโครงการรับจำนำจะไม่กลายเป็นอภิมหาโครงการข้าวเป็นพิษ ที่ชาวนาต้องมาทุกข์ระทม แล้วคนใหญ่คนโต ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาลอิ่มหมีพีมันไปตามๆกันอีกครั้ง

แน่นอนว่า หัวเรือใหญ่ในเรื่องนี้ อย่างนายกิตติรัตน์ย่อมอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องตอบโต้ว่ารัฐบาลมีความพร้อมที่จะเปิดรับจำนำข้าวเปลือกจากเกษตรกรทุกพื้นที่ ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมีข้อวิตกกังวลจากการวิจารณ์ว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจะทำให้เกิดการทุจริตนั้น รัฐบาลมีแนวทางป้องกันแล้ว โดยเฉพาะการนำองค์กรส่วนท้องถิ่นมาช่วยดูแล

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นายกิตติรัตน์ก็ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดที่จะทำให้หลายฝ่าย รวมไปถึงชาวนาทั่วทั้งประเทศที่เกี่ยวข้องเต็มๆ กับโครงการนี้ให้เข้าใจได้อย่างชัดแจ้ง ว่าจะมีวิธีรับมือสารพัดปัญหาอย่างไร

แน่นอน นายกิตติรัตน์อาจจะเชี่ยวชาญและคร่ำหวอดด้านหุ้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วหุ้นกับข้าวนั้นมีความแตกต่างแทบจะสิ้นเชิง เพราะหุ้นนั้นไม่เน่า ไม่เสีย ไม่ต้องมีโกดังเก็บ แต่ข้าวเป็นของกิน มีระยะเวลาการเก็บ ถ้าขายขาดทุนหรือขายไม่ได้ ก็ต้องเก็บไว้ในโกดัง เก็บไว้นานก็เน่าหรือข้าวเสื่อม ก็ยิ่งราคาตกต่ำลงไปอีก และใช่ว่าในอดีตเรื่องนี้ก็มีบทเรียนมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ก็ต้องถามกลับไปยังรัฐบาลว่าหากไม่ได้รับการท้วงติงจากผู้เชี่ยวชาญเคยคิดที่จะไปหาคำปรึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นบ้างหรือไม่

ดังนั้น นโยบายนี้จึงเป็นอีกนโยบายหนึ่งที่ชี้เป็นชี้ตายความเป็นไปของรัฐบาลชนิดที่อาจสร้างจุดเปลี่ยนทางการเมืองได้เลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น