หอการค้าฯ จี้รัฐจริงจังใช้พลังงานทดแทน "ธนวรรธน์" แนะถึงเวลาขยับเพดานตรึงดีเซล ครึ่งปีหลังปล่อยลอยตัวตามกลไกตลาดได้ ขณะที่นโยบายอุ้มดีเซลนานเกินไปเริ่มพ่นพิษ ผู้ใช้เบนซินถูกลอยแพ เซ็งนำเงินผู้ใช้เบนซินไปอุดหนุนดีเซล คนใช้รถหนีเบนซินแพงเกินจริงแห่ติดตั้งก๊าซแอลพีจี สมาคมฯ ผวาดันยอดใช้ก้าวกระโดดซ้ำรอยปัญหาขาดแคลนปี 51
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่มีการปรับราคาสูงขึ้นจะส่งผลต่อภาวะการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ปรับตัวลดลง เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก รัฐบาลจึงควรจริงจังกับการใช้พลังงานทดแทน
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การตรึงราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาลในขณะนี้ถือว่าเหมาะสม เพราะเป็นการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้เกิดภาวะชะงักงัน ลดการสูญเสียเม็ดเงินทางเศรษฐกิจได้ 4-5 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลควรขยับเพดานราคาในการตรึง ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม
นายธนวรรธน์ แนะนำว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง รัฐบาลควรปล่อยลอยตัวเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกลไกตลาด โดยโอกาสที่น้ำมันดิบจะขยับราคา อยู่ที่ 95-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปีนี้มีความเป็นไปได้ แต่หากเกิน 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจโลกทรุดตัวลง ร้อยละ 0.5 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย
**เบนซินแพงรถบ้านแห่ติดแอลพีจีเพียบ
นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินปรับตัวอยู่ในระดับสูงเฉลี่ยเกือบลิตรละ 40 บาทนั้น ได้ส่งผลให้ปริมาณรถยนต์หันมาติดตั้งการใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้นมาก และมีผลต่อเนื่องไปยังการเกิดขึ้นของปั๊มแอลพีจีในต่างจังหวัดที่ยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากปริมาณการใช้ก้าวกระโดดอาจเกิดปัญหาซ้ำรอยแอลพีจีนำเข้าไม่พอเพียง และนำไปสู่การขาดแคลนในบางพื้นที่เช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551 มาแล้ว
"ราคาแอลพีจีขณะนี้เพียงลิตรละ 11.30 บาทต่อลิตร ราคาห่างกันเกือบสองสามเท่าตัวเมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซิน ราคาในการติดตั้งก็ต่ำกว่า หากเทียบกับก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ หรือเอ็นจีวี จำนวนปั๊มก็เยอะ ที่สำคัญปั๊มแอลพีจีคืนทุนเร็วเพราะลงทุนไม่รวมที่ดินเพียง 5-6 ล้านบาท แต่ปั๊มน้ำมันต้องลงทุน 20-30 ล้านบาท ปั๊มเอ็นจีวี 30-40 ล้านบาท"
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องรัฐบาลควรจะต้องทบทวนมาตรการแล้ว เช่น การขึ้นภาษีป้ายวงกลมสำหรับรถที่ใช้แอลพีจี หากไม่สามารถปรับราคาขายได้ และหลังจากนั้นควรกำหนดการปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีให้สะท้อนกลไกตลาดโลกอย่างชัดเจน โดยปรับขึ้นทุกส่วนไม่ควรแยกเป็น 2 ราคาเช่นปัจจุบัน ที่รัฐบาลประกาศจะขึ้นราคาเฉพาะก๊าซภาคอุตสาหกรรม แต่ขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุปเนื่องจากการแยกราคาจะส่งผลต่อการลักลอบซึ่งควบคุมได้ยาก
นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน และอดีตผู้บริหาร บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาน้ำมันเบนซินที่สูงมาก เป็นแรงจูงใจให้ผู้ใช้รถยนต์หันไปติดตั้งแอลพีจีเพิ่มขึ้น ซึ่งหากมีปริมาณที่มากขึ้นต่อเนื่อง โอกาสที่รัฐบาลจะขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งก็คงจะไม่ง่ายนัก เช่น กรณีที่เกิดขึ้นกับนโยบายการขึ้นแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมของรัฐบาลปัจจุบัน ที่ล่าสุดภาคอุตสาหกรรมก็ออกมาต่อต้านจนยังไม่ชัดเจนว่าท้ายสุดจะเป็นอย่างไร
สำหรับราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาดวันที่ 9 มีนาคม 2554 ภาพรวมราคาปรับลดลง ยกเว้นน้ำมันดิบเบรนท์ที่ขึ้น 2.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปิดที่ 115.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังท่อน้ำมันและโรงกลั่นที่ลิเบียเสียหายจากการปะทะกัน ดังนั้น ราคาน้ำมันตลาดโลกยังผันผวนตามเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง จึงคาดเดาได้ยากว่าทิศทางราคาน้ำมันจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง โดยคงต้องติดตามอีก 1-2 วัน
นายศิริศักดิ์ วิทยอุดม รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า ธพ.ได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุญาตการลงทุนปั๊มแอลพีจีในต่างจังหวัดได้ทันที แต่ขอให้รายงานผลเข้ามายังส่วนกลาง ซึ่งเดือนมกราคม 2554 มีจำนวนปั๊มแอลพีจี 988 แห่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีเพียง 665 แห่ง และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก แต่เริ่มมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าปริมาณปั๊มสูงขึ้นมากแล้วอาจเสี่ยงต่อการลงทุนเพราะการแข่งขันเริ่มสูง
ทั้งนี้ การนำเข้าแอลพีจีปี 2554 เฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่เดือนละ 1 แสนตัน หรือรวมทั้งปีจะอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน ซึ่งคงจะไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนแต่อย่างใด