หอการค้าฯ เล็งปรับประมาณการณ์ ศก.ใหม่เดือน มี.ค.นี้ ชี้ ถ้าไม่เกิดเหตุรุนแรงทางการเมือง-ปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย ศก.ปี 53 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ 4%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคในไตรมาส 4 ปี 2552 โดยระบุว่า มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5.3 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาคการส่งออกของประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับไตรมาส 4 อยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาคการท่องเที่ยวคึกคัก
ขณะเดียวกันการบริโภคของประชาชนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายลงทุนของรัฐบาลในโครงการไทยเข้มแข็ง เริ่มมีเม็ดเงินลงในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวได้ร้อยละ 3-4 และฟื้นตัวชัดเจนในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน หากการเคลื่อนไหวทางเมืองเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย และปัญหาการลงทุนในโครงการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดแก้ไขได้ในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงโครงการไทยเข้มแข็งสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
นายธนวรรธน์ ระบุด้วยว่า หากเกิดความวุ่นวายทางเมืองและปัญหามาบตาพุดไม่สามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลง เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2-3 ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าภาคการท่องเที่ยว 50,000-100,000 ล้านบาท และทำให้การบริโภคของประชาชนลดลง 30,000-50,000 ล้านบาท รวมถึงภาคการลงทุนจะชะลอลงไป 20,000-40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแม้จะเกิดการยุบสภา หรือมีการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อ แต่หากอยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทางศูนย์พยากรณ์ ได้คาดการณ์แนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ในปี 2553 โดยประเมินไว้ 3 กรณี กรณีแรก สถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีเสถียรภาพ ปัญหามาบตาพุดแก้ไขได้ในช่วงครึ่งปีแรก ภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และมาตรการไทยเข้มแข็ง สามารถเดินหน้าได้ คาดว่า จีดีพีของประเทศ จะขยายตัวได้ร้อยละ 3-4 และมีโอกาสเป็นไปได้ถึง ร้อยละ 65
กรณีที่ 2 สถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพ ปัญหาหมาบตาพุดแก้ไขได้ในช่วงกลางปี และมาตรการไทยเข้มแข็ง สามารถขับเคลื่อนได้อย่างชัดเจน คาดว่า จีดีพี ของประเทศ จะขยายตัวได้ร้อยละ 4-5 และมีโอกาสเป็นไปได้ร้อยละ 15
และกรณีที่ 3 สถานการณ์ทางการเมืองขาดเสถียรภาพเกิดความวุ่นวาย มาบตาพุดไม่สามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า คาดว่า จีดีพีของประเทศ จะขยายตัวได้ร้อยละ 2-3 และมีโอกาสความเป็นไปได้อยู่ที่ร้อยละ 10 โดยปัจจัยทางการเมือง ยังคง
เป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นสูงสุด และภายในเดือนมีนาคม 2553 นี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ จะมีการประเมินสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศใหม่อีกครั้ง
สำหรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ หลังตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมากน้อยแค่ไหน คงยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน โดยจะต้องรอดูในช่วงหลังการตัดสิน จนถึงวันนัดชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเชื่อว่า เศรษฐกิจจะไม่ได้รับผลกระทบมาก และจะสามารถฟื้นตัวได้ตามแผน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคในไตรมาส 4 ปี 2552 โดยระบุว่า มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือขยายตัวได้ถึงร้อยละ 5.3 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาคการส่งออกของประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัว ประกอบกับไตรมาส 4 อยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาคการท่องเที่ยวคึกคัก
ขณะเดียวกันการบริโภคของประชาชนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้จ่ายลงทุนของรัฐบาลในโครงการไทยเข้มแข็ง เริ่มมีเม็ดเงินลงในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวได้ร้อยละ 3-4 และฟื้นตัวชัดเจนในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน หากการเคลื่อนไหวทางเมืองเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย และปัญหาการลงทุนในโครงการนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดแก้ไขได้ในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงโครงการไทยเข้มแข็งสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
นายธนวรรธน์ ระบุด้วยว่า หากเกิดความวุ่นวายทางเมืองและปัญหามาบตาพุดไม่สามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าลง เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงร้อยละ 2-3 ซึ่งส่งผลต่อมูลค่าภาคการท่องเที่ยว 50,000-100,000 ล้านบาท และทำให้การบริโภคของประชาชนลดลง 30,000-50,000 ล้านบาท รวมถึงภาคการลงทุนจะชะลอลงไป 20,000-40,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแม้จะเกิดการยุบสภา หรือมีการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อ แต่หากอยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทางศูนย์พยากรณ์ ได้คาดการณ์แนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ในปี 2553 โดยประเมินไว้ 3 กรณี กรณีแรก สถานการณ์ทางการเมืองยังคงมีเสถียรภาพ ปัญหามาบตาพุดแก้ไขได้ในช่วงครึ่งปีแรก ภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และมาตรการไทยเข้มแข็ง สามารถเดินหน้าได้ คาดว่า จีดีพีของประเทศ จะขยายตัวได้ร้อยละ 3-4 และมีโอกาสเป็นไปได้ถึง ร้อยละ 65
กรณีที่ 2 สถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพ ปัญหาหมาบตาพุดแก้ไขได้ในช่วงกลางปี และมาตรการไทยเข้มแข็ง สามารถขับเคลื่อนได้อย่างชัดเจน คาดว่า จีดีพี ของประเทศ จะขยายตัวได้ร้อยละ 4-5 และมีโอกาสเป็นไปได้ร้อยละ 15
และกรณีที่ 3 สถานการณ์ทางการเมืองขาดเสถียรภาพเกิดความวุ่นวาย มาบตาพุดไม่สามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า คาดว่า จีดีพีของประเทศ จะขยายตัวได้ร้อยละ 2-3 และมีโอกาสความเป็นไปได้อยู่ที่ร้อยละ 10 โดยปัจจัยทางการเมือง ยังคง
เป็นปัจจัยส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นสูงสุด และภายในเดือนมีนาคม 2553 นี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ จะมีการประเมินสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจของประเทศใหม่อีกครั้ง
สำหรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ หลังตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมากน้อยแค่ไหน คงยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน โดยจะต้องรอดูในช่วงหลังการตัดสิน จนถึงวันนัดชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเชื่อว่า เศรษฐกิจจะไม่ได้รับผลกระทบมาก และจะสามารถฟื้นตัวได้ตามแผน