xs
xsm
sm
md
lg

ความเชื่อมั่น ศก. ฟื้นตัวดีขึ้น ม.หอการค้าฯ เตือนสัญญาณบาทแข็ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ม.หอการค้าฯ เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.52 ปรับตัวดีขึ้น อยู่ที่ระดับ 70.4 สูงสุดในรอบ 16 เดือน พร้อมคาดการณ์ค่าเงินบาทปี 53 มีแนวโน้มแข็งค่าแตะ 32.50 บาท/ดอลลาร์ เตือนผู้ประกอบการเตรียมพร้อม รับมือผลกระทบ




นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคม 2552 อยู่ที่ระดับ 70.4 ปรับตัวดีขึ้นจาก 69.1 ในเดือน พฤศจิกายน 2552 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 68.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 93.8

ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า การบริโภคของไทยจะยังไม่ขยายตัวมากนักในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่จะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสสองของปีนี้เป็นต้นไป เนื่องจากดัชนีฯ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานในอนาคต

"การที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกันสองเดือนซ้อน และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือนนับแต่เดือนกันยายน 2551 เป็นการดีขึ้นตามลำดับ ทำให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมองว่าเศรษฐกิจจะไม่ทรุดตัวต่ำลงไปกว่านี้หากไม่มีเหตุการณ์เลวร้าย และเศรษฐกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว"

ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่วว่า ปัจจัยบวกที่ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2552 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2552 เนื่องจากกระทรวงการคลังคาดตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2553 ขยายตัวได้ 3.5% การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่ออายุ 5 มาตรการเพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน ครม.อนุมัติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง และเม็ดเงินงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เริ่มหมุนเวียนในระบบ

ส่วนปัจจัยลบที่สำคัญ คือ ผู้บริโภคยังกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ปัญหาการชะลอโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ความกังวลต่อค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังอยู่ในระดับสูง

"การที่ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 100 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 66 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะความกังวลเรื่องการฟื้นตัวที่ยังไม่แข็งแกร่งทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองและค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง"

ทั้งนี้ รัฐบาลควรเริ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็ว เพื่อส่งผลให้เกิดการจ้างงาน และบริหารงานด้านการเมืองให้มีเสถียรภาพ เพื่อช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า การบริโภคในช่วงไตรมาสแรกปีนี้น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 1% ขณะที่ยอดขายของเอกชนจะขยายตัวราว 3-5% เป็นผลจากการฟื้นตัวด้านส่งออกและการท่องเที่ยว ประกอบกับ การเบิกจ่ายงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง และราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้การบริโภคขยายตัวเพิ่มเป็น 2% ในไตรมาสสอง และขยายตัว 3-3.5% ในไตรมาสสาม ขณะที่ยอดขายของเอกชนจะขยายตัวเพิ่มเป็น 5-7% ในไตรมาสสอง และขยายตัว 7-10% ในไตรมาสสาม และหากมองทั้งปีคาดว่าการบริโภคจะขยายตัวอยู่ที่ 3% ภายใต้จีดีพี 3.2-3.5%

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทในปี 2553 ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและการเกินดุลชำระเงินที่อยู่ในระดับสูง และการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยประเมินว่าค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าไปถึงระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น