xs
xsm
sm
md
lg

"มาร์ค" ยันความพร้อมฐานผลิตรถยนต์โลก คาด 5-6 ปี ขึ้นอันดับ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นายกฯ มั่นใจไทยจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 10 ของโลก ภายใน 5-6 ปี ยอดผลิต 2.5 ล้านคัน ยันความพร้อมการเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในอนาคต




นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์และพลังงานไทย ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 26 ที่เมืองทองธานี โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2553 จะขยายตัวเป็นบวกร้อยละ 3-4 แม้เป็นอัตราการเติบโตที่ไม่สูง แต่เป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งพอสมควร ส่วนปัญหาเศรษฐกิจอื่นยังคงเปราะบางหลายจุด โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ยังคงผันผวน ปัญหาการว่างงาน ค่าเงิน ปัญหาระบบการเงินในบางประเทศที่ยังแก้ไม่ได้เบ็ดเสร็จ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากตัวชี้วัดหลายตัวดีขึ้น เช่น ยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นชัดเจน บริษัทที่เลิกจ้างเมื่อกลางปี เรียกพนักงานกลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ยอดเข้าชมมหกรรมยานยนต์ครั้งนี้ก็เพิ่มขึ้น จึงน่าจะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรม ที่นำไปสู่ความเชื่อมั่นในการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป ในขณะที่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มองไปข้างหน้าให้มีความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม การฟื้นโดยพึ่งการกระตุ้นของรัฐบาลไม่มีทางยั่งยืน ในที่สุดต้องเป็นการฟื้นตัวจากการใช้จ่ายของประชาชนและการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งรัฐบาลต้องการเห็นความชัดเจนในปี 2553 โดยผู้บริโภคเริ่มใช้จ่ายชัดเจนขึ้น และหวังว่าด้านการลงทุนจากต่างประเทศจะเข้ามามากขึ้นและเป็นปกติในปี 2553 ซึ่งจะเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยว่า ประเทศไทยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่ปี 2550 โดยรัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ที่ไม่ใช่ยี่ห้อของไทยเอง แต่ผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์จากทุกค่าย ทุกภูมิภาค ซึ่งขณะนี้มีไทยมีการผลิตรถยนต์ได้ถึง ปีละกว่า 1 ล้านคัน ซึ่งกว่าร้อยละ 50 เป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ และอีก 2-3 ปีข้างหน้า ยอดผลิตรถยนต์จะเพิ่มเป็น 2 ล้านคันต่อปี และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านคันในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์มากเป็นอันดับ 10 ของโลก

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า การเป็นฐานการผลิตของตลาดโลกเป็นจุดแข็ง เพราะการย้ายฐานการผลิตไม่ง่าย และยังได้เปรียบในกระบวนการเรียนรู้และการถ่ายทอดเทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการที่ไทยเริ่มจากการประกอบรถยนต์ก็ได้ ทำให้ปัจจุบันมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์เติบโตขึ้นตามมา ขณะเดียวกันนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยก็เป็นลักษณะเน้นบูรณาการให้เกิดกลุ่มอุตสาหกรรมขึ้นในพื้นที่ต่างๆ มากกว่ายึดเรื่องเขตส่งเสริมการลงทุนอย่างเคร่งครัด

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันของผู้ผลิตรถยนต์จากจีน และอินเดีย ดังนั้นภาคเอกชนและรัฐบาลจะต้องทำความเข้าใจร่วมกันเพื่อวางยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาการเป็นฐานการผลิตเอาไว้ให้ได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้ปรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มประหยัดพลังงานด้วย ซึ่งเป็นโอกาสของการขยายฐานการผลิต โดยขณะนี้อยู่ในช่วงแผนแม่บทที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2550 ที่ผู้บริโภคตระหนักเรื่องปัญหาราคาน้ำมันที่ผันผวนและมีแนวโน้มสูงขึ้น ดังนั้นรถยนต์ที่จะซื้อจึงต้องมีประสิทธิภาพประหยัดพลังงาน ซึ่งตามที่รัฐบาลได้ให้การส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์) ไปแล้วนั้น และขณะนี้ภาคเอกชนมีคำขอให้รัฐบาลปรับสิทธิประโยชน์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขนั้น รัฐบาลจะระมัดระวังและหาความสมดุล โดยนโยบายจะหยืดหยุ่นบ้าง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ผันผวนจนทำให้เกิดความไม่แน่นอน จนกระทบการตัดสินใจลงทุนของค่ายรถยนต์ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันด้วยว่า ประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญและสนับสนุนการใช้พลังทดแทน โดยแผน 15 ปีถึงปี 2565 ประเทศไทยมีเป้าหมายเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 6 ของการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศเป็นร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานทั้งหมดให้ได้ปี 2565 ซึ่งมั่นใจว่าจะทำได้ตามเป้าหมาย

ทั้งนี้ รัฐบาลจะทบทวนเพิ่มเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนให้สูงขึ้นไปอีก ส่วนการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างแก๊สโซฮอล์นั้น การส่งเสริมอี20 จะเป็นจุดที่มีปริมาณการผลิตที่เพียงพอและไม่กระทบกับด้านอาหาร ในขณะที่การจะส่งเสริมให้ใช้ถึงอี85 นั้น ส่วนก๊าซเอ็นจีวีนั้น กำลังเร่งแก้ปัญหาสถานีบริการที่ขณะนี้มีไม่เพียงพอ และแม้ราคาขายของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จะไม่สะท้อนต้นทุน แต่รัฐบาลจะตรึงราคาเอ็นจีวีออกไปจนถึงเดือนสิงหาคมปีหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น