“ปิยสวัสดิ์” โวยก๊าซหุงต้มถูกบิดเบือนกลไกตลาด หวั่นมือดีฉกเงินกองทุนน้ำมันฯ อุ้มผู้ค้ารายใหญ่ ลงทุนสต๊อกน้ำมันล่วงหน้าพลาด โกยกำไรแสนล้านในตลาดขายปลีกในประเทศ แต่โยนภาระให้กองทุนนำมันแบกหนี้
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพลังานเพื่อสิ่งแวดล้อม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงนโยบายการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน โดยประกาศตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และการใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่ออุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมัน หลังยกเลิกมาตรการเว้นเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 6 เดือน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ พร้อมแนะนำว่า รัฐบาลควรปล่อยให้โครงสร้างราคาพลังงานเป็นไปตามกลไกเสรี เนื่องจากปัจจุบันราคาแอลพีจี และราคาน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าก่อนหน้านี้มาก
นายปิยสวัสดิ์ ระบุว่า การกำหนดวงเงิน 3,000 ล้านบาท จากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อนำไปดูแลราคาขายปลีก คงช่วยพยุงราคาได้ระยะหนึ่ง โดยไม่ควรไปเสี่ยงกับความผันผวนของราคาน้ำมัน และควรใช้วิธีการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันของเบนซินและดีเซลระดับหนึ่ง พร้อมปล่อยให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นตามอัตราภาษีปกติ ซึ่งอาจทำให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้นบ้าง 1-2 บาทต่อลิตร
สำหรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจี นายปิยสวัสดิ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่เห็นด้วยที่จะแยกตลาดโดยกำหนดเป็น 2 ราคา เพราะจะทำให้เกิดการรั่วไหลและควรปล่อยลอยตัวราคาให้สะท้อนราคาตลาดโลก เนื่องจากช่วงนี้ราคาแอลพีจีในตลาดโลกลดต่ำลงแล้ว หากปล่อยลอยตัวก็ไม่กระทบกับราคาแอลพีจีในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ควรสร้างภาระให้กับกองทุนน้ำมันฯ เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้ว เรื่องหนี้กองทุนน้ำมันฯ ที่เคยพุ่งสูงถึง 9 หมื่นล้านบาท และไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ปล่อยให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นตามภาษีไปทันที และใช้วิธีการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในบางส่วนแทน