กพช.สรุปขึ้นราคาก๊าซ “แอลพีจี” ภาคขนส่ง 2 บาท/กก.วันนี้ คนใช้รถติดก๊าซเซ็ง ปตท.มีเฮได้ค่าโง่นำเข้าก๊าซ 8 พันล้านคืน “พลังงาน” ปรับสูตรใหม่ ใช้ราคาเฉลี่ยทั้งปี 500 ดอลลาร์/ตัน คำนวณต้นทุน โดยยืนยันจะปรับขึ้นเพียงครั้งเดียว เพื่อหยุดการจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้น
วันนี้ (16 ม.ค.) กระทรวงพลังงานจะเสนอทางเลือกการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคขนส่งและอุตสาหกรรมต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเสนอตัวเลขให้เหมาะสมตามราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลก และคำนึงถึงภาระหนี้นำเข้าก๊าซแอลพีจีประมาณ 8 พันล้านบาท ที่รัฐบาลชุดก่อนค้างจ่ายบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ขณะเดียวกัน ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนมากนัก ซึ่งหากขึ้นก็คงขึ้นครั้งเดียว ไม่ทยอยขึ้นเหมือนมติ กพช.เดิมที่จะขึ้น 6 บาทต่อกิโลกรัม โดยทยอยขึ้นเดือนละ 2 บาท
สำหรับแนวทางการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีในครั้งนี้ มีการปรับสูตรคำนวณใหม่ โดยอิงการคำนวณราคาตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปีที่ระดับ 500 ดอลลาร์ต่อตัน จะทำให้ราคาก๊าซแอลพีจีปรับขึ้นประมาณ 2.70 บาทต่อกิโลกรัม แต่เพื่อลดผลกระทบอาจเสนอทางเลือกทยอยขึ้นครั้งแรกอิงตลาดโลกปัจจุบันเป็นหลักก่อน คือ ที่ระดับราคา 380 ดอลลาร์ต่อตัน หรือปรับขึ้นเพียง 1.80 บาทต่อกิโลกรัม เท่านั้น เพื่อหยุดการจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ ราคาก๊าซหุงต้มเดือนพฤศจิกายน 2551 อยู่ที่ 800 ดอลลาร์ต่อตัน โดยล่าสุด ได้ปรับลดลงมาอยู่ที่อัตรา 380 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ราคาในประเทศอยู่ที่ 340 ดอลลาร์ต่อตัน หรือแตกต่างกัน 1.50-2.00 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกณฑ์ที่เสนอ กพช.วันนี้ กระทรวงพลังงานจะใช้ราคาเฉลี่ย 500 ดอลลาร์ต่อตัน
กระทรวงพลังงาน ยังระบุว่า การปล่อยลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจี ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่นโยบายของรัฐบาลนี้ชัดเจนว่า จะขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน จึงคิดว่าคงไม่ปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มแน่นอน โดยต้องดูราคาเฉลี่ยทั้งปีก่อนว่าอยู่ที่ระดับเท่าไร เพื่อไม่ให้ผิดพลาด ซึ่งทั่วโลกประเมินราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีนี้ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และก๊าซหุงต้มเฉลี่ย 500-600 ดอลลาร์ต่อตัน แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรุนแรง ก็ต้องพิจารณาใหม่อีกที
ส่วนมติการลดผลกระทบต่อประชาชนจากการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน หลังสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ในวันที่ 31 มกราคม 2552 นี้ รัฐบาลจะใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงช่วยชะลอการขึ้นราคาน้ำมันเป็นแบบขั้นบันได ซึ่งกรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้ตรวจสอบสตอกน้ำมันก่อนขึ้นทุกครั้ง คาดว่าจะทยอยขึ้นอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละ 0.70-1.00 บาทต่อลิตร ใช้วงเงินประมาณ 3 พันล้านบาท โดยใช้เงินกองทุนน้ำมันจ่ายภาษีสรรพสามิตน้ำมันคืนกระทรวงการคลังไปก่อน หลังจากนั้น กองทุนน้ำมันเก็บคืนจากส่วนเกินของผู้ค้าน้ำมัน
