xs
xsm
sm
md
lg

ค่าบาทอ่อนยวบแตะ 33.12 จับตาฝรั่งทิ้งหุ้นโยกเงินออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ค่าบาทหลุด 33 แตะ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนสุดรอบ 5 เดือน ระบุจากผู้นำเข้าแห่ทำฟอร์เวิร์ดมากขึ้น และต่างชาติยังขายหุ้นโยกเงินออก คาดแนวโน้มยังอ่อนต่อ จับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศ หวั่นต่างชาติไม่มั่นใจขายหุ้นอีกระลอก ด้าน"ประสาร"ย้ำแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นหลังกนง.ส่งสัญญาณขึ้นอาร์พี

นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้บริหารสายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงค่อนข้างมาในช่วงสัปดาห์นี้นั้น ถือว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ดังจะเห็นได้จากปริมาณการทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้าของลูกค้าซึ่งผู้นำเข้ามีกำหนดจะต้องส่งมอบเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงนี้ ทำให้มีความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงกรณีที่นักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา และได้นำเงินทุนออกนอกประเทศไป ก็เป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐและทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง

ทั้งนี้ คาดว่าภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ค่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องโดยน่าจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 32.75-33.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังถือว่าไม่ผันผวนมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค

นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า เงินบาทวานนี้ยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากวันก่อน จากระดับเปิดตลาดที่ 32.92-32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นอ่อนค่าลงระดับสูงสุดของวันที่ 33.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าสุดในรอบ 5 เดือน และปิดตลาดที่ระดับ 33.10-33.12 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยหลักมาจากปริมาณการทำธุรกรรมของผู้นำเข้าที่มีเข้ามาก ขณะที่ผู้ส่งออกยังคงเก็บเงินดอลลาร์สหรัฐไว้เนื่องจากมองว่าแนวโน้มเงินบาทยังคงอ่อนค่าอีก ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติยังคงมีการขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ยังมีเงินไหลออกอยู่ โดยกรอบการเคลื่อนไหวในสัปดาห์หน้าอยู่ที่ระดับ 33.00-33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ยังต้องดูที่ปัจจัยภายในประเทศประกอบด้วย โดยหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่นิ่ง นักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความมั่นใจก็คงจะมีการขายหุ้นออกมา ก็จะทำให้เงินบาทยิ่งอ่อนค่าลงตามอีก

**คาดกนง.ขึ้นอาร์พีสกัดเงินเฟ้อ**

ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น มาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และผู้นำเข้ามีการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดยังไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเริ่มเกินดุลในระดับที่น้อยลง

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้นั้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมองว่าหากมีการปรับขึ้นเพียง 0.25% ก็จะไม่ส่งผลกระทบให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม เนื่องจากปัจจัยที่จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น จะต้องพิจารณาจากสภาพคล่อง เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ รวมถึงนโยบายของทางการประกอบกัน

นอกจากนี้ มองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมาจะยังไม่ส่งผลกระทบกับลูกค้า เนื่องจากลูกค้าสามารถปรับตัวได้โดยการขึ้นราคาสินค้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีนี้เชื่อว่าธนาคารจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ไว้ที่ 4% ได้ แม้ว่าต้นเดือนมิ.ย.จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากไปแล้ว แต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นการปรับขึ้นทั้ง 2 ขา จึงไม่น่ากระทบส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) กล่าวว่า ในส่วนของเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกมาที่ระดับ 7.6% นั้นถือว่าสูงกว่าตลาดคาดไว้

ทั้งนี้ จากแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ดังกล่าว จึงต้องจับตาดูการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ครั้งต่อไปในวันที่ 16 ก.ค.นี้ว่าจะพิจารณาไปในทิศทางใด แต่หากดูจากสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันคาดว่ากนง.น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% เพื่อเป็นการดูแลเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกว่าที่ตลาดคาดการณ์

**ลีสซิ่งคาดปรับดบ.ตามก.ค.นี้

นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้จะเห็นธุรกิจลีสซิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น โดยคาดว่าน่าจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากเมื่อวันที่ 2-3 มิ.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ไปแล้ว ซึ่งธุรกิจลีสซึ่งได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจลีสซิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงคาดว่าผู้ประกอบการลีสซิ่งจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งหลังของปีนี้ มองว่าคุณภาพสินเชื่อของลูกค้าจะต่ำลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากลูกค้าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรเข้มงวดในการคัดเลือกลูกค้า โดยเฉพาะในรายที่มีเงินดาวน์ต่ำกว่า 15-20%

สำหรับการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา แม้ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมายอดการขายรถยนต์ในประเทศจะเติบโตเพียงหลักเดียว เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคเลื่อนการบริโภคสินค้าคงทนออกไป แต่ยังเชื่อว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% เนื่องจากในปีนี้ความต้องการรถยนต์ของผู้บริโภคยังไม่ถึงกับหดตัว เนื่องจากผู้บริโภคส่วนหนึ่งหันมาเลือกรถยนต์ประหยัดพลังงาน เช่น รถยนต์ขนาดเล็กและรถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะมีส่วนช่วยพยุงยอดสินเชื่อเช่าซื้อในปีนี้ให้เติบโตได้
กำลังโหลดความคิดเห็น