นายแบงก์ประเมินดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปียังจับทางยาก เป็นไปได้ทั้งขาขึ้น-ลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ชัดเจน และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นแรง ยันยังไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้เพื่อเพิ่มสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 และไม่มีลูกค้าสอบถามกรณีนายกฯปูดต่างชาติขอซื้อ 2 แบงก์ไทย
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยถึงแนวโน้มดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า ขณะนี้ยังคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยได้ยาก เนื่องจากยังมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ไม่นิ่ง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ยังต้องจับตาดู เพราะเท่าที่ผ่านมาแม้ว่าเครื่องบ่งชี้ด้านเศรษฐกิจบางตัวมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา และให้น้ำหนักมากขึ้น ดังนั้น จากปัจจัยทั้ง 2 ด้านที่ขัดแย้งกัน จึงมีความเป็นไปได้ทั้ง 2 แง่ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยอาจจะขึ้นหรือลงก็ได้
สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารในไตรมาส 2 นั้น ยังต้องดูสัญญาณอีก 1-2 เดือน แต่ธนาคารก็จะทำให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ระดับ 10-15%
"ทิศทางของดอกเบี้ยตอนนี้คาดเดาได้ยาก เพราะมีปัจจัยที่สำคัญทั้ง 2 ด้านสวนทางกันอยู่ คือแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีสัญญาณเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้มองว่าดอกเบี้ยน่ายังลดลง ในขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็เพิ่มในอัตราที่เร่งขึ้นมาก ทำให้ทิศทางน่าจะเป็นขาขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้มีหน้าที่กำหนดทิศทางดอกเบี้ยจะให้น้ำหนักกับปัจจัยไหนมากกว่ากัน"
ส่วนกรณีที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทยอยออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์นั้น นายประสารกล่าวว่า ในระยะนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ เนื่องจากเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 14% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ โดยแบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 10% และเงินกองทุนขั้นที่ 2 จำนวน 4%
ขณะที่การเตรียมพร้อมนำเอาระบบ Basel 2 มาใช้ในช่วงปลายปีนี้ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น ในส่วนของธนาคารไม่ถือว่าได้รับผลกระทบ เนื่องจากธนาคารมีฐานสินเชื่อขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)ในระดับสูง รวมถึงฐานสินเชื่อบ้านก็จะถูกนำไปคำนวณความเสี่ยงน้อยลง โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีลดลงจากเดิมที่กระทบเงินกองทุน 1% จะเหลือเพียง 0.75% และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิมกระทบ 0.5% ก็จะเหลือ 0.35% ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ธนาคารได้รับผลดีไปแล้ว โดยสามารถชดเชยความเสี่ยงด้านปฎิบัติการที่จะกระทบเงินกองทุน 1%
นายประสารกล่าวอีกว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐมนตรี ระบุถึงธนาคารพาณิชย์ 2 แห่งที่ผลการดำเนินงานยังไม่ดีขึ้นแม้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะเพิ่มทุนให้แล้วก็ตามนั้น ขณะนี้ยังไม่มีรายงานเข้ามาว่ามีลูกค้าเข้ามาสอบถามถึงกรณีดังกล่าว และข่าวดังกล่าวไม่น่าจะมีผลกับธนาคารเนื่องจากธนาคารไม่อยู่ในข่ายที่พูดถึง จึงไม่มีลูกค้าสอบถามเข้ามาเพื่อให้ชี้แจง
"ธนาคารของเราไม่กระทบอยู่แล้วกับข่าวนั้น แล้วก็ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้เข้ามาสอบถาม ส่วนหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อวันก่อนก็น่าจะเป็นไปตามความผันผวนของตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม แต่มองว่าครึ่งปีหลังก็น่าจะคลี่คลายและจะส่งผลดีต่อตลาดการเงิน จึงไม่มีอะไรต้องกังวล" นายประสารกล่าว
ด้านนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า ธนาคารได้พิจารณาเรื่องการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีแผนในการออก ซึ่งกรณีที่ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์หันมาออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิช่วงนี้ มองว่าเป็นเรื่องของการบริหารสภาพคล่องของแต่ละแห่ง
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยถึงแนวโน้มดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า ขณะนี้ยังคาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยได้ยาก เนื่องจากยังมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ไม่นิ่ง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ยังต้องจับตาดู เพราะเท่าที่ผ่านมาแม้ว่าเครื่องบ่งชี้ด้านเศรษฐกิจบางตัวมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา และให้น้ำหนักมากขึ้น ดังนั้น จากปัจจัยทั้ง 2 ด้านที่ขัดแย้งกัน จึงมีความเป็นไปได้ทั้ง 2 แง่ว่าแนวโน้มดอกเบี้ยอาจจะขึ้นหรือลงก็ได้
สำหรับการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารในไตรมาส 2 นั้น ยังต้องดูสัญญาณอีก 1-2 เดือน แต่ธนาคารก็จะทำให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อที่ระดับ 10-15%
"ทิศทางของดอกเบี้ยตอนนี้คาดเดาได้ยาก เพราะมีปัจจัยที่สำคัญทั้ง 2 ด้านสวนทางกันอยู่ คือแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีสัญญาณเริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้มองว่าดอกเบี้ยน่ายังลดลง ในขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็เพิ่มในอัตราที่เร่งขึ้นมาก ทำให้ทิศทางน่าจะเป็นขาขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้มีหน้าที่กำหนดทิศทางดอกเบี้ยจะให้น้ำหนักกับปัจจัยไหนมากกว่ากัน"
ส่วนกรณีที่มีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทยอยออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์นั้น นายประสารกล่าวว่า ในระยะนี้ธนาคารยังไม่มีความจำเป็นในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ เนื่องจากเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 14% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ โดยแบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 จำนวน 10% และเงินกองทุนขั้นที่ 2 จำนวน 4%
ขณะที่การเตรียมพร้อมนำเอาระบบ Basel 2 มาใช้ในช่วงปลายปีนี้ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้น ในส่วนของธนาคารไม่ถือว่าได้รับผลกระทบ เนื่องจากธนาคารมีฐานสินเชื่อขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)ในระดับสูง รวมถึงฐานสินเชื่อบ้านก็จะถูกนำไปคำนวณความเสี่ยงน้อยลง โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีลดลงจากเดิมที่กระทบเงินกองทุน 1% จะเหลือเพียง 0.75% และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเดิมกระทบ 0.5% ก็จะเหลือ 0.35% ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ธนาคารได้รับผลดีไปแล้ว โดยสามารถชดเชยความเสี่ยงด้านปฎิบัติการที่จะกระทบเงินกองทุน 1%
นายประสารกล่าวอีกว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ารัฐมนตรี ระบุถึงธนาคารพาณิชย์ 2 แห่งที่ผลการดำเนินงานยังไม่ดีขึ้นแม้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะเพิ่มทุนให้แล้วก็ตามนั้น ขณะนี้ยังไม่มีรายงานเข้ามาว่ามีลูกค้าเข้ามาสอบถามถึงกรณีดังกล่าว และข่าวดังกล่าวไม่น่าจะมีผลกับธนาคารเนื่องจากธนาคารไม่อยู่ในข่ายที่พูดถึง จึงไม่มีลูกค้าสอบถามเข้ามาเพื่อให้ชี้แจง
"ธนาคารของเราไม่กระทบอยู่แล้วกับข่าวนั้น แล้วก็ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้เข้ามาสอบถาม ส่วนหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อวันก่อนก็น่าจะเป็นไปตามความผันผวนของตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม แต่มองว่าครึ่งปีหลังก็น่าจะคลี่คลายและจะส่งผลดีต่อตลาดการเงิน จึงไม่มีอะไรต้องกังวล" นายประสารกล่าว
ด้านนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) กล่าวว่า ธนาคารได้พิจารณาเรื่องการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิแล้ว แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีแผนในการออก ซึ่งกรณีที่ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์หันมาออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิช่วงนี้ มองว่าเป็นเรื่องของการบริหารสภาพคล่องของแต่ละแห่ง