แบงก์กสิกรไทยระบุการเมืองยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง แนะหากแก้รัฐธรรมนูญต้องรับฟังในวงกว้าง หากวงแคบอาจเกิดการขัดแย้งกระทบเศรษฐกิจ ด้านสินเชื่อแบงก์ยันทั้งปีเติบโต 10-15% ชี้เอ็นพีแอลไม่น่าห่วงแต่ต้องระวังเรื่องการค้างชำระมากกว่า
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทยนั้นเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งในส่วนของธนาคารตั้งแต่ปีก่อนได้มีการติดตามปัจจัยดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญนั้นมองว่า หากการแก้ไขดังกล่าวมีการรับเปิดรับฟังในวงกว้างก็จะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีการจำกัดวงก็เชื่อว่าอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้
"ปัจจัยด้านการเมืองหากจะบอกว่าไม่มีผลอะไรเลยก็คงไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาแบงก์ก็ได้ติดตามประเด็นนี้อยู่เสมอ ส่วนความเสี่ยงนั้นในเชิงวิทยาศาสตร์ก็จะมีทั้งที่เกิดจากในประเทศและนอกประเทศซึ่งต้องดูประกอบกัน ซึ่งแบงก์เองก็ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องที่เป็นความเสี่ยงเหล่านี้อยู่แล้ว"
สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปีนี้ยังคงอยู่ที่ 10-15% โดย 2 เดือนแรกสามารถปล่อยไปได้แล้วประมาณ 2% ส่วนเดือนที่ 3 แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อค่อนข้างดีแต่ยังไม่สามารถจะเปิดเผยตัวเลขได้ แต่ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสินเชื่อที่ปล่อยไปแล้วนั้นส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อบรรษัท และเป็นสินเชื่อระยะสั้น จึงทำให้ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขการลงทุนได้ในขณะนี้
ส่วนตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอยู่เสมอ โดยเอ็นพีแอลในไตรมาส 1 ของปีนี้ได้ลดลงเล็กน้อย จากสิ้นปีที่แล้วที่อยู่ที่ 4.45% แต่ในขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง โดยสิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของอัตราค้างชำระมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 ปีแล้วเศรษฐกิจมีการชะลอตัวและมีผลต่อมายังการใช้จ่ายที่ลดลง
นายประสาร กล่าวว่า สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของธนาคารโดยรวมอยู่ที่ระดับ 14% ซึ่งแบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ระดับ 10% และขั้นที่ 2 อยู่ในระดับ 4% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ว่าเงินกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 รวมกันต้องไม่ต่ำกว่า 8.5% ดังนั้นในปีนี้ธนาคารจึงไม่มีความจำเป็นในการระดมทุนหรือการออกหุ้นกู้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามธนาคารอาจจะใช้วิธีการออกตั๋วแลกเงินเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการระดมทุน
โดยในปีนี้ธนาคารจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 4% อย่างไรก็ตามในปีนี้แม้ว่าสัญญาณดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลงแต่ธนาคารก็ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้งด้านเงินฝากและเงินกู้ จึงไม่ได้ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสูงจากปีก่อน โดยในปีที่ผ่านมา ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดีและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ 4.13% ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองของไทยนั้นเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งในส่วนของธนาคารตั้งแต่ปีก่อนได้มีการติดตามปัจจัยดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญนั้นมองว่า หากการแก้ไขดังกล่าวมีการรับเปิดรับฟังในวงกว้างก็จะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีการจำกัดวงก็เชื่อว่าอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้
"ปัจจัยด้านการเมืองหากจะบอกว่าไม่มีผลอะไรเลยก็คงไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาแบงก์ก็ได้ติดตามประเด็นนี้อยู่เสมอ ส่วนความเสี่ยงนั้นในเชิงวิทยาศาสตร์ก็จะมีทั้งที่เกิดจากในประเทศและนอกประเทศซึ่งต้องดูประกอบกัน ซึ่งแบงก์เองก็ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องที่เป็นความเสี่ยงเหล่านี้อยู่แล้ว"
สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปีนี้ยังคงอยู่ที่ 10-15% โดย 2 เดือนแรกสามารถปล่อยไปได้แล้วประมาณ 2% ส่วนเดือนที่ 3 แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อค่อนข้างดีแต่ยังไม่สามารถจะเปิดเผยตัวเลขได้ แต่ก็เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสินเชื่อที่ปล่อยไปแล้วนั้นส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อบรรษัท และเป็นสินเชื่อระยะสั้น จึงทำให้ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขการลงทุนได้ในขณะนี้
ส่วนตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอยู่เสมอ โดยเอ็นพีแอลในไตรมาส 1 ของปีนี้ได้ลดลงเล็กน้อย จากสิ้นปีที่แล้วที่อยู่ที่ 4.45% แต่ในขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง โดยสิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องของอัตราค้างชำระมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 ปีแล้วเศรษฐกิจมีการชะลอตัวและมีผลต่อมายังการใช้จ่ายที่ลดลง
นายประสาร กล่าวว่า สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ของธนาคารโดยรวมอยู่ที่ระดับ 14% ซึ่งแบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ระดับ 10% และขั้นที่ 2 อยู่ในระดับ 4% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้ว่าเงินกองทุนขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 รวมกันต้องไม่ต่ำกว่า 8.5% ดังนั้นในปีนี้ธนาคารจึงไม่มีความจำเป็นในการระดมทุนหรือการออกหุ้นกู้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามธนาคารอาจจะใช้วิธีการออกตั๋วแลกเงินเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการระดมทุน
โดยในปีนี้ธนาคารจะรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่ให้ต่ำกว่า 4% อย่างไรก็ตามในปีนี้แม้ว่าสัญญาณดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลงแต่ธนาคารก็ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้งด้านเงินฝากและเงินกู้ จึงไม่ได้ส่งผลให้ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นสูงจากปีก่อน โดยในปีที่ผ่านมา ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดีและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ 4.13% ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่น