แบงก์กรุงเทพ รอกลางปีประเมินผลกระทบซับไพรม์ต่อซีดีโออีกครั้ง หลังตั้งสำรองในปีที่แล้วไปแล้วกว่าพันล้าน ชี้สถานการณ์ยังแย่ลงเรื่อยๆ คาดใช้เวลาอีกนานกว่าสถานการณ์จะนิ่ง และไม่มั่นใจถือครองซีดีโอครบกำหนด ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ย ให้เป็นหน้าที่ของ ธปท.ตัดสินใจ
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารจะต้องมีการตั้งสำรองในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีสินทรัพย์อ้างอิง (Collateralized Debt Obligations) หรือ ซีดีโอ ของธนาคารเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น จะต้องดูภาวะตลาดซึ่งเชื่อว่าในกลางปีนี้จะเห็นถึงความชัดเจนถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร โดยในปีที่ผ่านมาธนาคารได้มีการตั้งสำรองซีดีโอไปแล้วประมาณ 1,060-1,070 ล้านบาท หรือ 50-60% จากมูลค่าที่ธนาคารได้ลงทุนในตราสารดังกล่าวจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งธนาคารยังไม่แน่ใจว่าจะถือตราสารดังกล่าวจนครบอายุหรือไม่
“ตอนนี้สถานการณ์ปัญหาซับไพรม์นั้นแย่ลงเรื่อยๆ กว่าจะถึงจุดนิ่งคงอีกนาน อย่างน้อยคงต้องดูกลางปีนี้ ส่วนซีดีโอนั้นจะขายออกไปก่อนหรือไม่นั้นประเด็นไม่ใช่เรื่องขาดทุนแต่อยู่ที่ไม่มีตลาดให้ขายและไม่มีคนซื้อด้วย”
นายชาติศิริ กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ออกมาระดมเงินฝากด้วยการออกแคมเปญระยะสั้นนั้น ไม่ได้เกิดจากการปัญหาในเรื่องของสภาพคล่อง แต่เป็นเพราะภาวการณ์แข่งขันมากกว่า รวมถึงเพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้า ส่วนการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการออกพันธบัตรนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์แต่อย่างใด โดยอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม และอยู่ในระดับที่ต่ำพอสมควร ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ด้วย ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นอย่างไรนั้น เชื่อว่า ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงมีการพิจารณาถึงกรอบความเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ยว่าควรจะเป็นไปในทิศทางใด
โดยในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นก็เป็นเพราะเศรษฐกิจในประเทศมีปัญหาและต้องหามาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่เศรษฐกิจในประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาที่รุนแรงเท่าที่สหรัฐฯ โดยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวที่ 4.5-5%
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารจะต้องมีการตั้งสำรองในส่วนของการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีสินทรัพย์อ้างอิง (Collateralized Debt Obligations) หรือ ซีดีโอ ของธนาคารเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น จะต้องดูภาวะตลาดซึ่งเชื่อว่าในกลางปีนี้จะเห็นถึงความชัดเจนถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร โดยในปีที่ผ่านมาธนาคารได้มีการตั้งสำรองซีดีโอไปแล้วประมาณ 1,060-1,070 ล้านบาท หรือ 50-60% จากมูลค่าที่ธนาคารได้ลงทุนในตราสารดังกล่าวจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งธนาคารยังไม่แน่ใจว่าจะถือตราสารดังกล่าวจนครบอายุหรือไม่
“ตอนนี้สถานการณ์ปัญหาซับไพรม์นั้นแย่ลงเรื่อยๆ กว่าจะถึงจุดนิ่งคงอีกนาน อย่างน้อยคงต้องดูกลางปีนี้ ส่วนซีดีโอนั้นจะขายออกไปก่อนหรือไม่นั้นประเด็นไม่ใช่เรื่องขาดทุนแต่อยู่ที่ไม่มีตลาดให้ขายและไม่มีคนซื้อด้วย”
นายชาติศิริ กล่าวอีกว่า การที่ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ออกมาระดมเงินฝากด้วยการออกแคมเปญระยะสั้นนั้น ไม่ได้เกิดจากการปัญหาในเรื่องของสภาพคล่อง แต่เป็นเพราะภาวการณ์แข่งขันมากกว่า รวมถึงเพื่อเป็นการรักษาฐานลูกค้า ส่วนการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการออกพันธบัตรนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์แต่อย่างใด โดยอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม และอยู่ในระดับที่ต่ำพอสมควร ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ด้วย ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นอย่างไรนั้น เชื่อว่า ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงมีการพิจารณาถึงกรอบความเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ยว่าควรจะเป็นไปในทิศทางใด
โดยในส่วนของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นก็เป็นเพราะเศรษฐกิจในประเทศมีปัญหาและต้องหามาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่เศรษฐกิจในประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาที่รุนแรงเท่าที่สหรัฐฯ โดยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวที่ 4.5-5%
