นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก "Chao Meekhuad" กรณีรื้อคำสั่งรอง อสส.คดีโอ๊ค พานทองแท้ ระบุว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ผมได้โพสต์เรื่อง "ชี้ช่องข้อกฎหมาย จุดตาย คดี "โอ๊ค พานทองแท้" ที่จะต้องนับหนึ่งใหม่ มีเนื้อหาโดยสรุปชี้ให้เห็นถึง คดี นายพานทองแท้ ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตฟอกเงินแบงค์กรุงไทยปล่อยสินเชื่อให้บริษัทในเครือกฤษฎามหานคร โดยมีเช็คเงินลงชื่อ นายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารบริษัที่ได้สินเชื่อจากแบ๊งค์กรุงไทยจำนวน 10 ล้านบาท เข้าบัญชีนายพานทองแท้ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตพิพากษายกฟ้อง ซึ่งต่อมานายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด มีคำสั่งชี้ขาดไม่ยื่นอุทธรณ์ ทั้งๆ ที่อธิบดีดีเอสไอมีความเห็นแย้งให้อุทธรณ์ และผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนมีความเห็นแย้งให้ลงโทษจำคุกนายพานทองแท้ สร้างความกังขาให้กับสังคมอย่างมาก มีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่าอำนาจในการสั่งชี้ขาดคดีของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะการชี้ขาดความเห็นแย้งกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ที่ถือเป็นดุลพินิจเฉพาะตัวเฉพาะตำแหน่งทางกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะและไม่อาจมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทนได้ ตามคำวินิจฉัยอัยการสูงสุดที่ 41/2533 และเทียบเคียงแนวคำสั่งฎีกาที่ 30/2542
นอกจากนี้ ยังเทียบเคียงได้กับเรื่องการรับรองอุทธรณ์หรือฎีกาตาม ป.วิ.อาญา ซึ่งในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจะแยกอำนาจของอธิบดีอัยการหรืออัยการสูงสุดระบุไว้แจ้งชัด ดังนั้นการสั่งคดีชี้ขาดความเห็นแย้งของนายเนตร รองอัยการสูงสุด ถึงแม้จะอ้างว่าได้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด ก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะขณะสั่งคดีนายเนตรไม่ใช่อัยการสูงสุด ผมจึงขอเสนอให้อธิบดีดีเอสไอในฐานะพนักสอบสวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนำประเด็นนี้ไปยื่นต่อศาลปกครอง หรือศาลอาญาทุจริตฯให้เพิกถอนคำชี้ขาดไม่อุทธรณ์ของรองอัยการสูงสุดดังกล่าวเสีย เนื่องจากเป็นคำสั่งที่สั่งโดยไม่มีอำนาจจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้อัยการสูงสุดทำความจริงประเด็นนี้ให้กระจ่าง ตามแนวคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด เพราะเรื่องนี้หลักสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์แต่อยู่ที่คนชี้ขาดไม่มีอำนาจ
แต่ผ่านมาแล้วเกือบหนึ่งเดือนทุกอย่างเงียบกริบ ไม่มีปฏิกริยาตอบรับใด ๆ จากอธิบดีดีเอสไอที่ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียคดีนี้โดยตรง มีสิทธิยื่นเรื่องต่อศาลปกครองหรือศาลอาญาทุจริตฯให้เพิกถอนคำสั่งชี้ขาดไม่อุทธรณ์ดังกล่าวได้ เพื่อให้คำสั่งที่สั่งโดยไม่มีอำนาจนั้นเป็นโมฆะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ แต่ท่านยังไม่ดำเนินการใด
ๆ ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ ( 29 กรกฎาคม) เวลา 11.00 น. ผมจะไปที่ดีเอสไอเพื่อยื่นหนังสือถึงอธิบดีดีเอสไออย่างเป็นทางการ
“ที่ผมทำเรื่องนี้ไม่มีอคติหรือมีวาระการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่ดำเนินการในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่งที่อยากเห็นบรรทัดฐานการสั่งคดีของอัยการไม่ว่าจะเป็นคดีใด เกี่ยวพันกับคนใหญ่คนโตหรือไม่ ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมายเดียวกัน เมื่อเห็นชัดเจนว่าอำนาจการชี้ขาดความเห็นแย้งเป็นดุลพินิจเฉพาะตัวเฉพาะตำแหน่งอัยการสูงสุด แต่รองอัยการสูงสุดกลับใช้อำนาจแทนเสียเอง จึงถือเป็นการใช้อำนาจที่ขัดต่อกฎหมาย และยังอยู่ในวิสัยที่จะแก้ไขได้ตามช่องทางกฎหมายอธิบดีดีเอสไอในฐานะเจ้าของสำนวนมีความเห็นแย้งให้อุทธรณ์จึงต้องดำเนินการต่อ ทำความจริงประเด็นนี้ให้กระจ่าง ตามแนวคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด”