“เชาว์” บี้ “บิ๊กป้อม” แจงสังคม หลังพบน้องชายนั่ง กมธ.กฎหมายยุค สนช. มีเอี่ยวพลิกคดี “ทายาทกระทิงแดง" เตือนไม่รีบกระชากหน้ากากไอ้โม่ง รัฐบาลมีสิทธิ์พังด้วย แนะทายาท “ดาบวิเชียร” ฟ้องคดีเอง พร้อมอาสารับเป็นทนายให้ จ่อเดินหน้ารื้อคดี “โอ๊ค” ฟอกเงินทุจริตแบงก์กรุงไทยใหม่ เตรียมยื่นเรื่องถึงอธิบดีดีเอสไอส่งศาลปกครอง-ศาลอาญา เพิกถอนคำสั่งไม่ฟ้องคดี เหตุเป็นโมฆะแต่ต้น เพราะ “เนตร” ไร้อำนาจ ย้ำอำนาจเฉพาะตัว อสส.ทำแทนไม่ได้
วันนี้ (27 ก.ค.) นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่องคดี “บอส กระทิงแดง” กฎหมายวิปริต หรืออิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์บาป คำถามที่ กมธ.กฎหมาย ยุค สนช.-อัยการ-สตช.ต้องตอบ โดยเนื้อหาสรุปได้ว่าเรื่องนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ คดียุติหรือยังซึ่งในส่วนของคดีความนั้นคำสั่งไม่ฟ้องของอัยการไม่ได้ตัดสิทธิ ทายาทผู้เสียหายที่จะนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลโดยตรงได้อีกช่องทางหนึ่ง แต่คดีนี้ทราบว่ามีการเยียวยาชดใช้ค่าเสียหายให้กับทายาทผู้ตายจนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและอาญาแล้ว ช่องทางที่จะทวงความยุติธรรมให้กับคนตายจึงแคบลง แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังไม่ได้ทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของผู้เสียหายระงับไป เพราะบันทึกตกลงเรื่องค่าเสียหายเป็นเรื่องของการเยียวยาในทางแพ่งที่นำมาประกอบดุลพินิจให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษเท่านั้น ดังนั้น หากทายาทติดใจที่จะดำเนินคดีอาญาก็สามารถฟ้องศาลด้วยตัวเองได้ เพราะคดีนียังไม่ขาดอายุความ
“ผมจึงขอเรียกร้องไปยังทายาทดาบตำรวจวิเชียรผู้ตาย ให้ออกมาใช้สิทธิทางศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงกันให้กระจ่าง ไม่ต้องไปยึดติดกับบันทึกข้อตกลงเพราะคดีอาญาแผ่นดินจะบันทึกกันอย่างไรก็ยอมความกันไม่ได้ เนื่องจากเรื่องมันมาไกลถึงขั้นสังคมต้องแตกหักกับความเชื่อมั่นต่อสถาบันอัยการ เพราะฉะนั้นท่านต้องใช้สิทธิในความเป็นผู้เสียหายฟ้องคดีเองต่อศาลเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับดาบตำรวจวิเชียรอย่างถึงที่สุด และช่วยสร้างความกระจ่างให้กับสังคม ถ้าท่านไม่มีทนาย ผมอาสาว่าความให้”
ส่วนที่ 2 การตามล่าหาไอ้โม่งตนเสนอ 4 ข้อทางออกให้ดำเนินการ คือ 1. ให้อัยการสูงสุดเปิดเผยพยานหลักฐานทั้งหมดพร้อมทั้งแจงรายละเอียดถึงที่มาของพยานหลักฐาน ความเห็นของพนักงานสอบสวนและอัยการผู้รับผิดชอบสำนวนทั้งหมด 2. ให้สอบสวนพฤติการณ์การสั่งคดีของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ผู้สั่งคดีว่าการสั่งคดีโดยสุจริตตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ รองอัยการสูงสุดท่านนี้เคยสั่งไม่อุทธรณ์คดีนายโอ๊ค พานทองแท้ กรณีทุจริตฟอกเงินปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยมาแล้ว ทั้งที่ตนเองไม่มีอำนาจ เพราะอำนาจการสั่งคดีชี้ขาดความเห็นแย้งเป็นดุลพินิจเฉพาะตัวเฉพาะตำแหน่งของอัยการสูงสุด มอบอำนาจกันไม่ได้ตามคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดที่ 41/2533 ซึ่งตนเคยเรียกร้องให้อธิบดีดีเอสไอในฐานะพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง หรือทำคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนคำสั่งที่เป็นโมฆะดังกล่าว และในวันที่ 29 ก.ค.นี้ ตนจะไปยื่นหนังสือต่ออธิบดีดีเอสไออย่างเป็นทางการด้วย หลังจากที่ชี้ช่องให้แล้วแต่ท่านยังเพิกเฉยไม่ดำเนินการ
3. สตช.ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมไม่มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟัองทั้งที่เคยมีความเห็นควรสั่งฟ้องตาม พยานหลักฐานเดิม ซึ่งมีความน่าเชื่อถือให้รับฟังมากกว่า และ 4. รัฐบาล ซึ่งตอนนี้หนีไม่พ้นข้อครหา เพราะมีการใช้กรรมาธิการกฎหมาย ยุค สนช.ซึ่งมีชื่อน้องชาย พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมาธิการ รื้อคดีสอบเองจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนของคดี ทำให้เกิดคำถามว่ามีบิ๊กคนไหนเข้าไปสร้างกระบวนการฟอกผิดเป็นถูกให้กับทายาทมหาเศรษฐีหรือไม่
“เรื่องนี้ท่านจะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะหากไม่รีบหาตัวผู้ใช้อำนาจผิด บิดเบือนความจริงมาลงโทษ ผมเกรงว่านอกจากระบบยุติธรรมสั่นคลอนแล้ว รัฐบาลของพวกท่านจะพังครืนลงมาในไม่ช้านี้” นายเชาว์กล่าว