คำต่อคำ : พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแถลงจุดยืนต่อคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีสลายการชุมนุม 7 ต.ค.51
สุริยะใส - (***) อ.สมเกียรติ ก็ส่งความเห็นมาทางไลน์ แกนนำรุ่น 2 หลายท่านก็ฝากความเห็นมา แล้วเราก็ทำหน้าที่ประมวลและสรุป ในแถลงการณ์ก็จะเป็นจุดยืนร่วมกันของอดีต ย้ำนะครับ ใช้คำว่าอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 1 รุ่น 2 รุ่นสามยังไม่มีนะครับ รุ่น 3 ก็อาจจะให้คุณอมร คุณตั้ม เป็น พิจารณาตามสมควร
ข้อจำกัดหนึ่งของการกำหนดท่าทีวันนี้คือ คำพิพากษาฉบับเต็ม ทั้งเสียงข้างมาก ข้างน้อย ยังไม่ออกมา ซึ่งที่ประชุมคิดว่าถ้ารอฉบับเต็มก็อาจจะได้ประเด็นใหม่ โดยเฉพาะความเห็นของผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 1 ท่าน เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว คือท่านปริญญา ดีผดุง ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อผลักดันให้มีการอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งขณะนี้เรายังไม่ได้ ยังไม่ประกาศออกมา แต่ท่าทีวันนี้ก็จะเป็นท่าทีรวมๆ ก่อน จากคำพิพากษาที่รับรู้ร่วมกันไปก่อน หลักใหญ่ๆ ก่อน รวมทั้งการทบทวนเหตุการณ์ จุดยืนขององค์กรตามรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิฯ ศาลปกครองกลาง กรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงของวุฒิสภา ผลการชี้มูลของ ป.ป.ช. หรือแม้กระทั่งการเกี่ยวเนื่องจากคดีความ ถ้าสื่อมวลชนจำได้ ในเหตุการณ์ จะพบว่ามีการต่อสู้กันสองสนามคู่กันไป สนามหนึ่งคือสนามมวลชน อีกสนามหนึ่งคือสนามของศาล หรือองค์กรอิสระ เราใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญตลอดเวลา ในช่วง 193 วัน ไม่ว่าจะเป็นศาลแพ่ง ที่เราโดนล้อม ขับไล่ สู้กันไปสู้กันมา หรือแม้กระทั่งหมายจับคดีกบฏ แล้วเราก็ชนะหมด และที่สำคัญที่สุดผมก็ได้รายงานที่ประชุมว่า เรามีคำพิพากษาศาลอาญาที่น่าสนใจ ซึ่งคุณพิภพ ธงไชย แนะนำว่า คณะทำงานเราจะรวบรวมเพื่อจัดพิมพ์ โดยเฉพาะคำพิพากษาที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม 193 วัน ในคดีอาญาที่แกนนำถูกยกฟ้องหลายคดี คำพิพากษาในแนวเดียวกัน เท่าที่ดูไม่น่าจะน้อยกว่า 4 ศาล 4 คดีที่ระบุว่าการชุมนุมของเราเป็นการชุมนุมโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการชุมนุมที่ปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
อย่างคำพิพากษาล่าสุดของศาลชั้นต้น กรณีข้อหาบุกรุกทำเนียบรัฐบาลกับ 9 อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ท่านเขียนไว้ชัดในวรรคหนึ่ง ว่า เป็นการชุมนุมที่ชี้ให้ประชาชนเห็นถึงรัฐบาลที่บริหารแผ่นดินโดยไร้คุณธรรม ไร้ธรรมาภิบาล และเป็นการชุมนุมที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อันนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านั้น คดีพวกผม คดี 5 แกนนำ โดนข้อหาหมิ่นฯ และเราก็สู้จน บางศาลถึงฎีกาแล้ว ยกหมด โดยศาลท่านยืนว่า สิทธิการชุมนุมของเราเป็นสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ และที่สำคัญ บางศาลท่านชี้ไปไกลถึงขั้นว่า ข้อกล่าวหาหรือแถลงการณ์ของพันธมิตรฯ หลายฉบับปรากฏข้อเท็จจริงตามที่เราได้แถลงไปในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริต ผลประโยชน์ทับซ้อน การโยกย้ายข้าราชการเพื่อเอื้อคนในรัฐบาล หรือความเป็นนอมินีของรัฐบาล ศาลท่านก็ยืนยันหลายศาลว่ารับรู้ได้โดยทั่วกัน ว่ารัฐบาลคุณสมัคร คุณสมชาย เป็นนอมินีอย่างไร ฉะนั้นนี่ผมคิดว่ามันเป็นภาพรวมของกระบวนการต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่ควรตัดสินกันแค่คดี 7 ตุลาฯ เท่านั้น
ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าจะเป็นประโยชน์กับสาธารณะที่จะศึกษา แล้วเอาเรื่องนี้เป็นบทเรียนกับสังคมไทย ต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ ที่มาที่ไป ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่คุณพิภพ ธงไชย จะได้มอบหมายให้คณะทำงานไปจัดพิมพ์เรื่องนี้ และผมจะรับไปเพื่อรวบรวมและจัดพิมพ์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวอีกทีหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวหลายท่านนี่ ผมคิดว่าบางท่านเป็นนักข่าวใหม่ ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ อาจจะตัดตอนมานั่งฟังคำแถลงของผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่ถ้าท่านสื่อหลายคนที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ปี 49 หรือตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 51 จะเห็นว่าที่มาที่ไป จนเป็นเหตุให้เราต้องนัดหมายประชุมกันในวันนี้ มีความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งก็เรียนว่าพันธมิตรฯ ได้ยุติบทบาทไปแล้ว แต่เนื่องจากนี่เป็นพันธกิจที่ยังไม่จบ ก็เลยมีการประชุมกันวันนี้
+++ เริ่มแถลง +++
สุริยะใส กตะศิลา
สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่เคารพรักและพี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพทุกท่าน วันนี้อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งรุ่น 1 รุ่น 2 แกนนำบนเวที ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ผู้เสียชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ สาหัส พิการ รวมทั้งผู้ร่วมชุมนุมในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ได้มาประชุมหารือกันเพื่อกำหนดจุดยืนต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยจะให้คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเคยเป็นอดีตโฆษกพันธมิตรฯ เป็นคนอ่านแถลงการณ์ จากนั้นค่อยตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการดำเนินการต่อไป
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนและพี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพทุกท่าน ต่อไปนี้เป็นการแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 1/2560 เรื่อง จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เกี่ยวกับคดีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันสลายการชุมนุม และไม่ดำเนินการระงับยับยั้ง เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 โดยสรุปว่า ผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมโดยสงบที่จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กาย เสียชีวิต จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้เสียหาย และประจักษ์พยานผู้เกี่ยวข้อง จึงได้มาประชุมกันในวันนี้ และมีมติดังต่อไปนี้
1. อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้อง เคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหลายประการ จึงมีความเห็นว่า คดีนี้สมควรต้องอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ฯ ต่อไป เพราะเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง มติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ได้มีคำวินิจฉัยจากกรณีดังกล่าวมาแล้วว่า การชุมนุมของประชาชนเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มิได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่การสลายการชุมนุมไม่ได้ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการนำอาวุธและวัตถุระเบิดมาใช้ในการสลายการชุมนุมเป็นจำนวนมาก มิได้มีการปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก มิได้ปฏิบัติตามแผนกรกฎ/48 แต่อย่างใด อีกทั้งการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงยังได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แม้ว่าจะมีการประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว หรือแม้แต่สมาชิกรัฐสภาได้เดินทางออกจากรัฐสภาแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างว่า ต้องสลายการชุมนุมด้วยวิธีการดังกล่าว เพราะผู้ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทั้งสามองค์กรดังกล่าวได้ชี้ว่า จำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจกระทำต่อผู้ชุมนุมด้วยการละเมิดต่อผู้ชุมนุม
2. เห็นควรตั้งคณะทำงานขึ้นติดตามการดำเนินคดีนี้ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาทนายความ และทนายความ เพื่อให้การดำเนินการอุทธรณ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมของผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมอบหมายให้ นายวีระ สมความคิด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายประพันธ์ คูณมี นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นคณะทำงานในกรณีนี้
3. หากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ตามข้อ 1 และ 2 มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแก่พี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะดำเนินการในทุกช่องทางทางกฎหมาย ทุกวิถีทาง เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนจนถึงที่สุด
4. มีมติมอบหมายให้ นายวีระ สมความคิด และคณะ ในฐานะผู้ยื่นคำร้องเดิมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้เดินทางร่วมกับผู้เสียหาย และพี่น้องประชาชนที่มีความห่วงใยในคดีดังกล่าวนี้ ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 เวลา 11.00 น.
ทั้งหมดเป็นการแถลงของพันธมิตร ฯ ในกรณีล่าสุด ที่เราจะดำเนินการต่อไป
+++ ถาม - ตอบ +++
ถาม-
ปานเทพ- เป็นไปตามแถลงการณ์ครับ ที่เราสรุปมาก็คือ ประการที่หนึ่ง เราไม่เห็นพ้องด้วย แม้ว่าเราจะเคารพต่อคำพิพากษา และเราก็เห็นว่ายังมีช่องทางที่จะดำเนินการแสวงหาความยุติธรรมจากกระบวนการอุทธรณ์ได้ เราจึงเห็นว่า ขั้นตอนต่อไปต้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการอุทธรณ์ และเราก็ต้องยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อขอให้อุทธรณ์ในกรณีดังกล่าว ซึ่งก็จะเป็นวันจันทร์นี้ ที่คุณวีระ สมความคิด จะไปยื่นหนังสือดังกล่าวต่อไป
ถาม-
ปานเทพ- ประการที่หนึ่ง ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่าคดีนี้เป็นคดีที่ทนายพันธมิตร ฯ ไม่มีโอกาสซักค้านในคดีความนี้เลย เพราะว่าเป็นคดีที่ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องโดยผ่านสภาทนายความ และทางสภาทนายความก็ได้มีการมอบหมายทนายความที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยหรือใกล้ชิดกับพันธมิตร ฯ โดยตรง ดังนั้น การที่จะได้มีโอกาสซักค้านหรือซักประเด็นข้อสงสัย ทางพันธมิตร ฯ เองก็มีข้อจำกัดอยู่มาก และความผูกพัน ความเข้าใจ รวมถึงพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือของทนายความพันธมิตร ฯ ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะสู้ตามขั้นตอนตามปกติที่ควรจะต้องเป็น เพราะว่าโจทก์ฟ้องคือ ป.ป.ช. โดยอาศัยสภาทนายความเท่านั้น ฉะนั้นข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางก็ดี หรือศาลต่าง ๆ ที่พิพากษาในพฤติการณ์ของพันธมิตร ฯ ก็ดี รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ดี รวมถึงคำวินิจฉัยของมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก็ดี ความขัดแย้งเหล่านี้เพียงเพราะว่าเรายังไม่ได้มีโอกาสต่อสู้ โต้แย้ง ในชั้นศาลตามขั้นตอนปกติ ในชั้นนี้เราจึงต้องไปทำการยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ในขณะเดียวกันก็ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานของทุกองค์กรที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ในกระบวนการยุติธรรม ว่าทำไปด้วยขั้นตอนอย่างไร และมีจุดที่เราต้องมีการท้วงติงอย่างไรต่อไป
ประพันธ์ คูณมี
ผมขออนุญาตตอบประเด็นที่ผู้สื่อข่าวถามเมื่อกี้ คือการพิจารณาคดีนี้ เผอิญผมไม่ได้เป็นทนายในคดีนี้ แต่ผมเป็นทนายในคดีที่อัยการฟ้องแกนนำและพวกเราผู้ชุมนุมในข้อหาก่อการจลาจล วุ่นวาย หน้าสภา ประมาณ 21 คน ประเด็นนี้พยานโจทก์ก็เอา ส.ส. ในสภามาเบิกความ เบิกความในทำนองนี้ล่ะ เหมือนกับผู้ชุมนุมอยู่ข้างนอก ตะโกนว่าฆ่ามัน แต่ว่าเป็นพยานเพียงปากเดียว ที่เป็น ส.ส.พรรคไทยรักไทย คือนายสุชาติ ลายน้ำเงิน แล้วก็ไม่มีปรากฏว่ามีเทปบันทึกเสียง จะเห็นได้ว่าในการชุมนุมหน้าสภาฯ เขามีเทปบันทึกเสียง มีภาพเคลื่อนไหว มีเสียงปราศรัย ไม่มีผู้ชุมนุมแม้แต่คนเดียวพูดคำเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะเอามาวินิจฉัยได้เลยในศาล คดีนี้ เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไม่มีอยู่ในสำนวนด้วย และไม่ปรากฏในภาพ เพราะถ้าผู้ชุมนุมไปตะโกน มันจะมีเสียงออกตามภาพเคลื่อนไหวตลอด แต่ได้ยินเสียง ฆ่ามัน มาจากตำรวจ ระหว่างที่ขว้างระเบิด เอามันให้ตาย มันอยู่ได้อยู่ไป มันเก่งดีนัก เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงนี้มันเป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งโลก ไม่มีครับ ประเด็นนี้
ถาม-
ประพันธ์- ดีมากครับคำถามนี้ นี่คือประเด็นสำคัญที่พันธมิตร ฯ จำเป็นต้องรวมกัน และตั้งคณะทำงาน เพราะเราไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงในสำนวนคดีนี้ได้นำเสนอศาลโดยครบถ้วนหรือไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ค่อนข้างจะมีรายละเอียดหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดในทางคดีอาญา มีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว จำนวนอาวุธ วัตถุระเบิด ที่เจ้าหน้าที่เอามาใช้ และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ระดับประเทศ ทั้งนั้น อย่างเช่น พล.ท.อัมพร จารุจินดา พล.อ.ท.วิชาญ เบี้ยวนิ่ม ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชของประเทศไทยที่เก่งๆ ลงความเห็นหมด เกี่ยวกับเรื่องแก๊สน้ำตา เพราะฉะนั้นรายละเอียดข้อเท็จจริงในสำนวน รวมทั้งคำพิพากษาศาลปกครอง คำวินิจฉัยของกรรมการสิทธิ ฯ และคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. มีข้อมูลหลักฐานที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเราจึงอยากจะเห็นว่า คดีนี้จำเป็นต้องอุทธรณ์ เพราะมันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทั้ง 3 หน่วยงานนี้โดยสิ้นเชิง และเราจำเป็นต้องมีคณะทำงานเพื่อติดตามว่าในการอุทธรณ์ว่า 1. จะมีการอุทธรณ์หรือไม่ 2. ถ้าอุทธรณ์ เขียนอุทธรณ์อย่างไร นำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน สมบูรณ์ เพียงพอที่จะให้ศาลวินิจฉัยหรือไม่ หรือมีพฤติกรรมในลักษณะไม่นำเสนอข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน เป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยในลักษณะที่ไม่ได้พยานหลักฐานเพียงพอแก่การพิจารณาคดี นี่ก็เป็นประเด็นที่เราจำเป็นต้องติดตาม
ถาม- มีความกังวลหรือไม่เกี่ยวกับการดำเนินการของ ป.ป.ช. หลังมีการเปลี่ยนตัว ป.ป.ช. จากชุดเดิมไปแล้ว // ถ้า ป.ป.ช. ไม่ยื่นอุทธรณ์ และไม่มีช่องทางที่จะดำเนินการได้ จะทำอย่างไร
สุริยะใส- ผมว่าข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างนั้นนะครับ และสาธารณะน่าจะเข้าใจดีว่าข้อกังวลของหลายฝ่าย ก็คือเรื่องของจุดยืน ป.ป.ช. ต่อเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่ายังด่วนเกินไปที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า เพราะอยู่ในกรอบเวลา และ ป.ป.ช. ก็บอกว่ารอคำพิพากษาที่เป็นทางการฉบับเต็มก่อน ขั้นตอนการทำงานก็ต้องให้โอกาสเขา แต่ว่าช่องทางมันไม่ได้จบแค่นี้ คณะทำงานที่ตั้งขึ้นเบื้องต้น 3 ท่าน ก็จะไปวางแนวว่ามีช่องทางอื่นไหม กระบวนการยังอีกยาว ก็จะฝากพี่น้องพันธมิตร ฯ อย่าเพิ่งท้อ หมดหวัง หมดกำลังใจ ประตูยังไม่ได้ปิดนะครับ ความยุติธรรมเรายังต้องเรียกร้องกันต่อ และยังมีช่องทางอื่นอีก แต่ว่าคณะทำงานก็สื่อสารกับพี่น้องเป็นระยะ
ก่อนจะไปถึงพี่ตี๋ ที่จะให้พูดในนามผู้เสียหาย ผมฝากเป็นข้อสังเกตที่ผมคิดว่ามันมีมิติทางประวัติศาสตร์ด้วย หลังเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เก้าวัน คือวันที่ 16 ตุลาคม ผู้นำเหล่าทัพทั้ง 3 เหล่าทัพ เข้าใจว่ามี ผบ.ตร.ด้วย นั่งแถลง ประกาศจุดยืนต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุม มีวรรคทองสำคัญหลายวรรค ผมยกตัวอย่างมาสั้นๆ แล้วกัน เช่น เป็นการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม ทำให้ประชาชนเลือดตกยางออกแบบนี้ อยู่บริหารงานก็ยาก ถ้าเป็น พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งท่านเป็น ผบ.ในขณะนั้น ก็บอกว่าท่านก็ต้องลาออก และก่อนปิดรายการ ท่านก็ย้ำว่า เหตุการณ์นี้ต้องมีคนรับผิดชอบ นี่คือบันทึกประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผมคิดว่าเวลาเราดูคดีนี้ ผมอยากให้สื่อมวลชนและสังคมศึกษาอย่างครบถ้วนองค์ความด้วย
ถาม- หนึ่งในคำพิพากษาส่วนตนของผู้พิพากษา ที่ว่ามีความผิด คิดว่าอันนี้จะเป็นแนวทางในการต่อสู้ทางกฎหมายของกลุ่ม
สุริยะใส- ใช่ครับ เดี๋ยวคอยดูกันอีกที
ถาม-
สุริยะใส- ใช่ครับ ทั้งหมดครับ ขอดูอีกทีนะครับ ยังเป็นประเด็นที่จะขยายความได้ยาวอีก
ถาม- ยังมีคดีที่อยู่ที่ศาลปกครอง คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่ออกมาในขณะนี้ จะมีผลต่อคำพิพากษาของศาลปกครองที่ใกล้จะตัดสินหรือเปล่า
สุริยะใส- นี่เป็นโจทย์ที่ผมคิดว่าไม่ใช่โจทย์พันธมิตร ฯ เป็นโจทย์ร่วมกับคนไทยทั้่งประเทศนะครับ เรื่องเขตอำนาจศาล เรื่องการพิพากษาที่ย้อนแย้งกันขององค์กรอิสระ ของศาลตามรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาศาลปกครองกลางเขีนละเอียดมาก เรื่องการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล นี่ชัดมาก ผมถึงบอกว่าอย่าอ่านเฉพาะคำพิพากษาวันที่ 2 สิงหาฯ ให้ไปดูคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ผลสอบสวนเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผลศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา หรือการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. ชุดแรก ซึ่งไม่ใช่ชุดนี้นะครับ มันก็ต่างกันสิ้นเชิง ฉะนั้นก็ฝากดูนะครับ
ประพันธ์- ผมตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อสักครู่นะครับ เรื่องคำพิพากษาศาลปกครอง กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ถ้าท่านโหลดเข้าไปในเว็บไซต์คำพิพากษาศาลฉบับนี้ ท่านไปอ่านได้เลยนะครับ เป็นคำพิพากษาที่มีการไต่สวนพยานมากที่สุด เป็นร้อย ๆ ปาก ไต่สวนทั้งสำนวนจากกรรมการสิทธิฯ ไต่สวนทั้งผู้ชุมนุม กลุ่มแพทย์ กลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิด เป็นร้อย ๆ ราย ที่มาให้การในชั้นกรรมการสิทธิ ฯ ในชั้นกรรมการที่ศาลปกครอง จึงเป็นสำนวนคดีที่มีการรับฟังพยานค่อนข้างจะมาก สมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าสำหรับคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายของ ป.ป.ช. นำพยานไปสืบเพียง 15 ปาก และผมก็ไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริง รายละเอียดที่มีอยู่ในสำนวนคดีทั้งหมดนี้ จะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ทั้งสองศาลนี้ต่างมีความเป็นอิสระซึ่งกันและกัน ข้อเท็จจริงในศาลฎีกาฯ อาจจะรับฟังได้ในศาลปกครอง แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ไม่เหมือนศาลยุติธรรม ที่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงในคดีอาญา จะต้องไปรับฟังในคดีแพ่งได้ ถ้าศาลยุติธรรม
สุริยะใส- เอาคร่าว ๆ ก่อนนะครับ มันมีรายละเอียดเยอะ เรื่องข้อกฎหมายที่มีข้อสังเกต ถามคุณวีระ คุณประพันธ์ นอกเวลาได้ครับ
คุณตี๋
ท่านผู้สื่อข่าวทั้งหลาย เมื่อวันที่ 2 อยู่ที่ศาลฎีกา ท่านคงจำได้นะ ท่านสุชาติ เหมือนแก้ว เดินมาหาผม มากอดผม เขาขอโทษผม แต่ผมก็คิดว่าเขาคงจะรู้สึกว่าเขาทำผิดแล้วล่ะ มาขอโทษผม แล้วเขาก็เดินไป แล้วที่พิพากษาออกมาแล้ว ผมก็ไม่เห็นด้วยว่าพวกผมผิด ผมไม่มีอาวุธ ผมมือเปล่า ถูกกระทำตลอด มีผ้าเย็นเพียงผืนเดียว ทำไมจะต้องยิงผม ตอนหกโมงเย็นน่ะ ผมไม่เข้าใจอยู่ ยิงได้เช้ายันมืด มันน่าจะยุติตอนหกโมงเย็นแล้ว โดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดินเข้าไปถึง ถือผ้าผืนเดียว ก็โดนยิงแล้ว ขอบคุณมากครับ
สุริยะใส- ให้คุณพิภพ ธงไชย พูดถึงเอกภาพของพันธมิตร ฯ จุดยืนที่สื่อมวลชนถาม เรื่องการเคลื่อนไหว การปรามของท่านรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร
พิภพ ธงไชย
พล.อ.ประวิตร ปรามเรื่องอะไร ผมไม่ค่อยได้ฟังเขานะ ครับ ไม่มีปัญหานะ ผู้มีอำนาจก็ต้องปรามไปอย่างนั้น แต่ฝ่ายประชาชนต้องมีจุดยืน และพันธมิตร ฯ ก็แสดงจุดยืนมาตลอดในสิบกว่าปีที่ผ่านมา แล้วคดีที่ขึ้นสู่ศาล แล้วพันธมิตร ฯ ได้รับคำพิพากษาและวินิจฉัย หลุดหลายคดี แล้วข้อความในคำพิพากษาก็เป็นประโยชน์ต่อประวัติศาสตร์ประชาชนชาวไทยในกระบวนการต่อสู้ของภาคประชาชน ในจุดยืนของภาคประชาชน
ในเรื่องของความเป็นเอกภาพ ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะว่าเรามีคดีร่วมกันเยอะแยะ สอง คือเรามีความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา ฉะนั้นความเป็นเอกภาพยังมีอยู่ ยืนยันได้ วันนี้อาจจะมีแกนนำ ผม มีคุณสุริยะใส และมีคนอื่นๆ ที่คุณสุริยะใสได้เรียนแล้วว่า ได้แสดงความเห็น ถึงแม้จะติดกิจธุระ ก็แสดงความเห็นมาในโซเชียลมีเดีย เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้ เหมือนกับผมไม่สงสัยในจิตใจกล้าสู้การชนะของพี่น้องประชาชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราจะไปถึงจุดแห่งชัยชนะและความเป็นธรรมให้ได้ครับ
สุริยะใส- เดี๋ยวรายละเอียดพวกนี้คณะทำงานจะไปรวบรวมแล้วทำเป็นหนังสืออีกฉบับหนึ่ง ที่คุณวีระจะนำยื่นวันจันทร์ นั่นจะเห็นภาพทั้งหมด วันนี้ขอบคุณสื่อมวลชนที่ยังติดตามและให้โอกาสพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เฝ้าติดตามและลุ้นดูข้อเท็จจริงและความยุติธรรม ขอบคุณมากครับ
สุริยะใส - (***) อ.สมเกียรติ ก็ส่งความเห็นมาทางไลน์ แกนนำรุ่น 2 หลายท่านก็ฝากความเห็นมา แล้วเราก็ทำหน้าที่ประมวลและสรุป ในแถลงการณ์ก็จะเป็นจุดยืนร่วมกันของอดีต ย้ำนะครับ ใช้คำว่าอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 1 รุ่น 2 รุ่นสามยังไม่มีนะครับ รุ่น 3 ก็อาจจะให้คุณอมร คุณตั้ม เป็น พิจารณาตามสมควร
ข้อจำกัดหนึ่งของการกำหนดท่าทีวันนี้คือ คำพิพากษาฉบับเต็ม ทั้งเสียงข้างมาก ข้างน้อย ยังไม่ออกมา ซึ่งที่ประชุมคิดว่าถ้ารอฉบับเต็มก็อาจจะได้ประเด็นใหม่ โดยเฉพาะความเห็นของผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 1 ท่าน เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว คือท่านปริญญา ดีผดุง ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อผลักดันให้มีการอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งขณะนี้เรายังไม่ได้ ยังไม่ประกาศออกมา แต่ท่าทีวันนี้ก็จะเป็นท่าทีรวมๆ ก่อน จากคำพิพากษาที่รับรู้ร่วมกันไปก่อน หลักใหญ่ๆ ก่อน รวมทั้งการทบทวนเหตุการณ์ จุดยืนขององค์กรตามรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมการสิทธิฯ ศาลปกครองกลาง กรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงของวุฒิสภา ผลการชี้มูลของ ป.ป.ช. หรือแม้กระทั่งการเกี่ยวเนื่องจากคดีความ ถ้าสื่อมวลชนจำได้ ในเหตุการณ์ จะพบว่ามีการต่อสู้กันสองสนามคู่กันไป สนามหนึ่งคือสนามมวลชน อีกสนามหนึ่งคือสนามของศาล หรือองค์กรอิสระ เราใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญตลอดเวลา ในช่วง 193 วัน ไม่ว่าจะเป็นศาลแพ่ง ที่เราโดนล้อม ขับไล่ สู้กันไปสู้กันมา หรือแม้กระทั่งหมายจับคดีกบฏ แล้วเราก็ชนะหมด และที่สำคัญที่สุดผมก็ได้รายงานที่ประชุมว่า เรามีคำพิพากษาศาลอาญาที่น่าสนใจ ซึ่งคุณพิภพ ธงไชย แนะนำว่า คณะทำงานเราจะรวบรวมเพื่อจัดพิมพ์ โดยเฉพาะคำพิพากษาที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม 193 วัน ในคดีอาญาที่แกนนำถูกยกฟ้องหลายคดี คำพิพากษาในแนวเดียวกัน เท่าที่ดูไม่น่าจะน้อยกว่า 4 ศาล 4 คดีที่ระบุว่าการชุมนุมของเราเป็นการชุมนุมโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และเป็นการชุมนุมที่ปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
อย่างคำพิพากษาล่าสุดของศาลชั้นต้น กรณีข้อหาบุกรุกทำเนียบรัฐบาลกับ 9 อดีตแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ท่านเขียนไว้ชัดในวรรคหนึ่ง ว่า เป็นการชุมนุมที่ชี้ให้ประชาชนเห็นถึงรัฐบาลที่บริหารแผ่นดินโดยไร้คุณธรรม ไร้ธรรมาภิบาล และเป็นการชุมนุมที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อันนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านั้น คดีพวกผม คดี 5 แกนนำ โดนข้อหาหมิ่นฯ และเราก็สู้จน บางศาลถึงฎีกาแล้ว ยกหมด โดยศาลท่านยืนว่า สิทธิการชุมนุมของเราเป็นสิทธิโดยชอบตามรัฐธรรมนูญ และมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะ และที่สำคัญ บางศาลท่านชี้ไปไกลถึงขั้นว่า ข้อกล่าวหาหรือแถลงการณ์ของพันธมิตรฯ หลายฉบับปรากฏข้อเท็จจริงตามที่เราได้แถลงไปในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริต ผลประโยชน์ทับซ้อน การโยกย้ายข้าราชการเพื่อเอื้อคนในรัฐบาล หรือความเป็นนอมินีของรัฐบาล ศาลท่านก็ยืนยันหลายศาลว่ารับรู้ได้โดยทั่วกัน ว่ารัฐบาลคุณสมัคร คุณสมชาย เป็นนอมินีอย่างไร ฉะนั้นนี่ผมคิดว่ามันเป็นภาพรวมของกระบวนการต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่ควรตัดสินกันแค่คดี 7 ตุลาฯ เท่านั้น
ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าจะเป็นประโยชน์กับสาธารณะที่จะศึกษา แล้วเอาเรื่องนี้เป็นบทเรียนกับสังคมไทย ต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบ ที่มาที่ไป ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่คุณพิภพ ธงไชย จะได้มอบหมายให้คณะทำงานไปจัดพิมพ์เรื่องนี้ และผมจะรับไปเพื่อรวบรวมและจัดพิมพ์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวอีกทีหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวหลายท่านนี่ ผมคิดว่าบางท่านเป็นนักข่าวใหม่ ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ อาจจะตัดตอนมานั่งฟังคำแถลงของผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา แต่ถ้าท่านสื่อหลายคนที่อยู่กับเรามาตั้งแต่ปี 49 หรือตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 51 จะเห็นว่าที่มาที่ไป จนเป็นเหตุให้เราต้องนัดหมายประชุมกันในวันนี้ มีความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งก็เรียนว่าพันธมิตรฯ ได้ยุติบทบาทไปแล้ว แต่เนื่องจากนี่เป็นพันธกิจที่ยังไม่จบ ก็เลยมีการประชุมกันวันนี้
+++ เริ่มแถลง +++
สุริยะใส กตะศิลา
สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่เคารพรักและพี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพทุกท่าน วันนี้อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งรุ่น 1 รุ่น 2 แกนนำบนเวที ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ผู้เสียชีวิต ญาติผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ สาหัส พิการ รวมทั้งผู้ร่วมชุมนุมในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ได้มาประชุมหารือกันเพื่อกำหนดจุดยืนต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยจะให้คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเคยเป็นอดีตโฆษกพันธมิตรฯ เป็นคนอ่านแถลงการณ์ จากนั้นค่อยตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการดำเนินการต่อไป
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนและพี่น้องสื่อมวลชนที่เคารพทุกท่าน ต่อไปนี้เป็นการแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 1/2560 เรื่อง จุดยืนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เกี่ยวกับคดีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551
จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันสลายการชุมนุม และไม่ดำเนินการระงับยับยั้ง เป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83
ต่อมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 โดยสรุปว่า ผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมโดยสงบที่จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้มีเจตนาพิเศษเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปทำร้ายผู้ชุมนุมให้ได้รับอันตรายแก่กาย เสียชีวิต จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดนั้น อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้เสียหาย และประจักษ์พยานผู้เกี่ยวข้อง จึงได้มาประชุมกันในวันนี้ และมีมติดังต่อไปนี้
1. อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้อง เคารพต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นพ้องด้วย และเห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหลายประการ จึงมีความเห็นว่า คดีนี้สมควรต้องอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ฯ ต่อไป เพราะเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวขัดแย้งกับคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง มติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ได้มีคำวินิจฉัยจากกรณีดังกล่าวมาแล้วว่า การชุมนุมของประชาชนเป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มิได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง ในขณะที่การสลายการชุมนุมไม่ได้ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการนำอาวุธและวัตถุระเบิดมาใช้ในการสลายการชุมนุมเป็นจำนวนมาก มิได้มีการปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก มิได้ปฏิบัติตามแผนกรกฎ/48 แต่อย่างใด อีกทั้งการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงยังได้เกิดขึ้นตลอดเวลา ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แม้ว่าจะมีการประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว หรือแม้แต่สมาชิกรัฐสภาได้เดินทางออกจากรัฐสภาแล้ว ซึ่งขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างว่า ต้องสลายการชุมนุมด้วยวิธีการดังกล่าว เพราะผู้ชุมนุมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทั้งสามองค์กรดังกล่าวได้ชี้ว่า จำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจกระทำต่อผู้ชุมนุมด้วยการละเมิดต่อผู้ชุมนุม
2. เห็นควรตั้งคณะทำงานขึ้นติดตามการดำเนินคดีนี้ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาทนายความ และทนายความ เพื่อให้การดำเนินการอุทธรณ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมของผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยมอบหมายให้ นายวีระ สมความคิด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายประพันธ์ คูณมี นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นคณะทำงานในกรณีนี้
3. หากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ตามข้อ 1 และ 2 มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแก่พี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็จะดำเนินการในทุกช่องทางทางกฎหมาย ทุกวิถีทาง เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนจนถึงที่สุด
4. มีมติมอบหมายให้ นายวีระ สมความคิด และคณะ ในฐานะผู้ยื่นคำร้องเดิมต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้เดินทางร่วมกับผู้เสียหาย และพี่น้องประชาชนที่มีความห่วงใยในคดีดังกล่าวนี้ ไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 เวลา 11.00 น.
ทั้งหมดเป็นการแถลงของพันธมิตร ฯ ในกรณีล่าสุด ที่เราจะดำเนินการต่อไป
+++ ถาม - ตอบ +++
ถาม-
ปานเทพ- เป็นไปตามแถลงการณ์ครับ ที่เราสรุปมาก็คือ ประการที่หนึ่ง เราไม่เห็นพ้องด้วย แม้ว่าเราจะเคารพต่อคำพิพากษา และเราก็เห็นว่ายังมีช่องทางที่จะดำเนินการแสวงหาความยุติธรรมจากกระบวนการอุทธรณ์ได้ เราจึงเห็นว่า ขั้นตอนต่อไปต้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการอุทธรณ์ และเราก็ต้องยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. เพื่อขอให้อุทธรณ์ในกรณีดังกล่าว ซึ่งก็จะเป็นวันจันทร์นี้ ที่คุณวีระ สมความคิด จะไปยื่นหนังสือดังกล่าวต่อไป
ถาม-
ปานเทพ- ประการที่หนึ่ง ผมอยากจะเรียนให้ทราบว่าคดีนี้เป็นคดีที่ทนายพันธมิตร ฯ ไม่มีโอกาสซักค้านในคดีความนี้เลย เพราะว่าเป็นคดีที่ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องโดยผ่านสภาทนายความ และทางสภาทนายความก็ได้มีการมอบหมายทนายความที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยหรือใกล้ชิดกับพันธมิตร ฯ โดยตรง ดังนั้น การที่จะได้มีโอกาสซักค้านหรือซักประเด็นข้อสงสัย ทางพันธมิตร ฯ เองก็มีข้อจำกัดอยู่มาก และความผูกพัน ความเข้าใจ รวมถึงพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือของทนายความพันธมิตร ฯ ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะสู้ตามขั้นตอนตามปกติที่ควรจะต้องเป็น เพราะว่าโจทก์ฟ้องคือ ป.ป.ช. โดยอาศัยสภาทนายความเท่านั้น ฉะนั้นข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกันกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางก็ดี หรือศาลต่าง ๆ ที่พิพากษาในพฤติการณ์ของพันธมิตร ฯ ก็ดี รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ดี รวมถึงคำวินิจฉัยของมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก็ดี ความขัดแย้งเหล่านี้เพียงเพราะว่าเรายังไม่ได้มีโอกาสต่อสู้ โต้แย้ง ในชั้นศาลตามขั้นตอนปกติ ในชั้นนี้เราจึงต้องไปทำการยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ในขณะเดียวกันก็ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินงานของทุกองค์กรที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ในกระบวนการยุติธรรม ว่าทำไปด้วยขั้นตอนอย่างไร และมีจุดที่เราต้องมีการท้วงติงอย่างไรต่อไป
ประพันธ์ คูณมี
ผมขออนุญาตตอบประเด็นที่ผู้สื่อข่าวถามเมื่อกี้ คือการพิจารณาคดีนี้ เผอิญผมไม่ได้เป็นทนายในคดีนี้ แต่ผมเป็นทนายในคดีที่อัยการฟ้องแกนนำและพวกเราผู้ชุมนุมในข้อหาก่อการจลาจล วุ่นวาย หน้าสภา ประมาณ 21 คน ประเด็นนี้พยานโจทก์ก็เอา ส.ส. ในสภามาเบิกความ เบิกความในทำนองนี้ล่ะ เหมือนกับผู้ชุมนุมอยู่ข้างนอก ตะโกนว่าฆ่ามัน แต่ว่าเป็นพยานเพียงปากเดียว ที่เป็น ส.ส.พรรคไทยรักไทย คือนายสุชาติ ลายน้ำเงิน แล้วก็ไม่มีปรากฏว่ามีเทปบันทึกเสียง จะเห็นได้ว่าในการชุมนุมหน้าสภาฯ เขามีเทปบันทึกเสียง มีภาพเคลื่อนไหว มีเสียงปราศรัย ไม่มีผู้ชุมนุมแม้แต่คนเดียวพูดคำเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะเอามาวินิจฉัยได้เลยในศาล คดีนี้ เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไม่มีอยู่ในสำนวนด้วย และไม่ปรากฏในภาพ เพราะถ้าผู้ชุมนุมไปตะโกน มันจะมีเสียงออกตามภาพเคลื่อนไหวตลอด แต่ได้ยินเสียง ฆ่ามัน มาจากตำรวจ ระหว่างที่ขว้างระเบิด เอามันให้ตาย มันอยู่ได้อยู่ไป มันเก่งดีนัก เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงนี้มันเป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ต่อสายตาคนทั้งโลก ไม่มีครับ ประเด็นนี้
ถาม-
ประพันธ์- ดีมากครับคำถามนี้ นี่คือประเด็นสำคัญที่พันธมิตร ฯ จำเป็นต้องรวมกัน และตั้งคณะทำงาน เพราะเราไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงในสำนวนคดีนี้ได้นำเสนอศาลโดยครบถ้วนหรือไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ค่อนข้างจะมีรายละเอียดหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดในทางคดีอาญา มีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว จำนวนอาวุธ วัตถุระเบิด ที่เจ้าหน้าที่เอามาใช้ และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ระดับประเทศ ทั้งนั้น อย่างเช่น พล.ท.อัมพร จารุจินดา พล.อ.ท.วิชาญ เบี้ยวนิ่ม ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชของประเทศไทยที่เก่งๆ ลงความเห็นหมด เกี่ยวกับเรื่องแก๊สน้ำตา เพราะฉะนั้นรายละเอียดข้อเท็จจริงในสำนวน รวมทั้งคำพิพากษาศาลปกครอง คำวินิจฉัยของกรรมการสิทธิ ฯ และคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. มีข้อมูลหลักฐานที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเราจึงอยากจะเห็นว่า คดีนี้จำเป็นต้องอุทธรณ์ เพราะมันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทั้ง 3 หน่วยงานนี้โดยสิ้นเชิง และเราจำเป็นต้องมีคณะทำงานเพื่อติดตามว่าในการอุทธรณ์ว่า 1. จะมีการอุทธรณ์หรือไม่ 2. ถ้าอุทธรณ์ เขียนอุทธรณ์อย่างไร นำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานโดยครบถ้วน สมบูรณ์ เพียงพอที่จะให้ศาลวินิจฉัยหรือไม่ หรือมีพฤติกรรมในลักษณะไม่นำเสนอข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน เป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยในลักษณะที่ไม่ได้พยานหลักฐานเพียงพอแก่การพิจารณาคดี นี่ก็เป็นประเด็นที่เราจำเป็นต้องติดตาม
ถาม- มีความกังวลหรือไม่เกี่ยวกับการดำเนินการของ ป.ป.ช. หลังมีการเปลี่ยนตัว ป.ป.ช. จากชุดเดิมไปแล้ว // ถ้า ป.ป.ช. ไม่ยื่นอุทธรณ์ และไม่มีช่องทางที่จะดำเนินการได้ จะทำอย่างไร
สุริยะใส- ผมว่าข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างนั้นนะครับ และสาธารณะน่าจะเข้าใจดีว่าข้อกังวลของหลายฝ่าย ก็คือเรื่องของจุดยืน ป.ป.ช. ต่อเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่ายังด่วนเกินไปที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า เพราะอยู่ในกรอบเวลา และ ป.ป.ช. ก็บอกว่ารอคำพิพากษาที่เป็นทางการฉบับเต็มก่อน ขั้นตอนการทำงานก็ต้องให้โอกาสเขา แต่ว่าช่องทางมันไม่ได้จบแค่นี้ คณะทำงานที่ตั้งขึ้นเบื้องต้น 3 ท่าน ก็จะไปวางแนวว่ามีช่องทางอื่นไหม กระบวนการยังอีกยาว ก็จะฝากพี่น้องพันธมิตร ฯ อย่าเพิ่งท้อ หมดหวัง หมดกำลังใจ ประตูยังไม่ได้ปิดนะครับ ความยุติธรรมเรายังต้องเรียกร้องกันต่อ และยังมีช่องทางอื่นอีก แต่ว่าคณะทำงานก็สื่อสารกับพี่น้องเป็นระยะ
ก่อนจะไปถึงพี่ตี๋ ที่จะให้พูดในนามผู้เสียหาย ผมฝากเป็นข้อสังเกตที่ผมคิดว่ามันมีมิติทางประวัติศาสตร์ด้วย หลังเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เก้าวัน คือวันที่ 16 ตุลาคม ผู้นำเหล่าทัพทั้ง 3 เหล่าทัพ เข้าใจว่ามี ผบ.ตร.ด้วย นั่งแถลง ประกาศจุดยืนต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุม มีวรรคทองสำคัญหลายวรรค ผมยกตัวอย่างมาสั้นๆ แล้วกัน เช่น เป็นการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม ทำให้ประชาชนเลือดตกยางออกแบบนี้ อยู่บริหารงานก็ยาก ถ้าเป็น พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งท่านเป็น ผบ.ในขณะนั้น ก็บอกว่าท่านก็ต้องลาออก และก่อนปิดรายการ ท่านก็ย้ำว่า เหตุการณ์นี้ต้องมีคนรับผิดชอบ นี่คือบันทึกประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผมคิดว่าเวลาเราดูคดีนี้ ผมอยากให้สื่อมวลชนและสังคมศึกษาอย่างครบถ้วนองค์ความด้วย
ถาม- หนึ่งในคำพิพากษาส่วนตนของผู้พิพากษา ที่ว่ามีความผิด คิดว่าอันนี้จะเป็นแนวทางในการต่อสู้ทางกฎหมายของกลุ่ม
สุริยะใส- ใช่ครับ เดี๋ยวคอยดูกันอีกที
ถาม-
สุริยะใส- ใช่ครับ ทั้งหมดครับ ขอดูอีกทีนะครับ ยังเป็นประเด็นที่จะขยายความได้ยาวอีก
ถาม- ยังมีคดีที่อยู่ที่ศาลปกครอง คำพิพากษาศาลฎีกาฯ ที่ออกมาในขณะนี้ จะมีผลต่อคำพิพากษาของศาลปกครองที่ใกล้จะตัดสินหรือเปล่า
สุริยะใส- นี่เป็นโจทย์ที่ผมคิดว่าไม่ใช่โจทย์พันธมิตร ฯ เป็นโจทย์ร่วมกับคนไทยทั้่งประเทศนะครับ เรื่องเขตอำนาจศาล เรื่องการพิพากษาที่ย้อนแย้งกันขององค์กรอิสระ ของศาลตามรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาศาลปกครองกลางเขีนละเอียดมาก เรื่องการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล นี่ชัดมาก ผมถึงบอกว่าอย่าอ่านเฉพาะคำพิพากษาวันที่ 2 สิงหาฯ ให้ไปดูคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ผลสอบสวนเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผลศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา หรือการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช. ชุดแรก ซึ่งไม่ใช่ชุดนี้นะครับ มันก็ต่างกันสิ้นเชิง ฉะนั้นก็ฝากดูนะครับ
ประพันธ์- ผมตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อสักครู่นะครับ เรื่องคำพิพากษาศาลปกครอง กับคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ถ้าท่านโหลดเข้าไปในเว็บไซต์คำพิพากษาศาลฉบับนี้ ท่านไปอ่านได้เลยนะครับ เป็นคำพิพากษาที่มีการไต่สวนพยานมากที่สุด เป็นร้อย ๆ ปาก ไต่สวนทั้งสำนวนจากกรรมการสิทธิฯ ไต่สวนทั้งผู้ชุมนุม กลุ่มแพทย์ กลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิด เป็นร้อย ๆ ราย ที่มาให้การในชั้นกรรมการสิทธิ ฯ ในชั้นกรรมการที่ศาลปกครอง จึงเป็นสำนวนคดีที่มีการรับฟังพยานค่อนข้างจะมาก สมบูรณ์ที่สุด แต่ว่าสำหรับคดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายของ ป.ป.ช. นำพยานไปสืบเพียง 15 ปาก และผมก็ไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริง รายละเอียดที่มีอยู่ในสำนวนคดีทั้งหมดนี้ จะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ทั้งสองศาลนี้ต่างมีความเป็นอิสระซึ่งกันและกัน ข้อเท็จจริงในศาลฎีกาฯ อาจจะรับฟังได้ในศาลปกครอง แต่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ไม่เหมือนศาลยุติธรรม ที่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงในคดีอาญา จะต้องไปรับฟังในคดีแพ่งได้ ถ้าศาลยุติธรรม
สุริยะใส- เอาคร่าว ๆ ก่อนนะครับ มันมีรายละเอียดเยอะ เรื่องข้อกฎหมายที่มีข้อสังเกต ถามคุณวีระ คุณประพันธ์ นอกเวลาได้ครับ
คุณตี๋
ท่านผู้สื่อข่าวทั้งหลาย เมื่อวันที่ 2 อยู่ที่ศาลฎีกา ท่านคงจำได้นะ ท่านสุชาติ เหมือนแก้ว เดินมาหาผม มากอดผม เขาขอโทษผม แต่ผมก็คิดว่าเขาคงจะรู้สึกว่าเขาทำผิดแล้วล่ะ มาขอโทษผม แล้วเขาก็เดินไป แล้วที่พิพากษาออกมาแล้ว ผมก็ไม่เห็นด้วยว่าพวกผมผิด ผมไม่มีอาวุธ ผมมือเปล่า ถูกกระทำตลอด มีผ้าเย็นเพียงผืนเดียว ทำไมจะต้องยิงผม ตอนหกโมงเย็นน่ะ ผมไม่เข้าใจอยู่ ยิงได้เช้ายันมืด มันน่าจะยุติตอนหกโมงเย็นแล้ว โดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เดินเข้าไปถึง ถือผ้าผืนเดียว ก็โดนยิงแล้ว ขอบคุณมากครับ
สุริยะใส- ให้คุณพิภพ ธงไชย พูดถึงเอกภาพของพันธมิตร ฯ จุดยืนที่สื่อมวลชนถาม เรื่องการเคลื่อนไหว การปรามของท่านรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร
พิภพ ธงไชย
พล.อ.ประวิตร ปรามเรื่องอะไร ผมไม่ค่อยได้ฟังเขานะ ครับ ไม่มีปัญหานะ ผู้มีอำนาจก็ต้องปรามไปอย่างนั้น แต่ฝ่ายประชาชนต้องมีจุดยืน และพันธมิตร ฯ ก็แสดงจุดยืนมาตลอดในสิบกว่าปีที่ผ่านมา แล้วคดีที่ขึ้นสู่ศาล แล้วพันธมิตร ฯ ได้รับคำพิพากษาและวินิจฉัย หลุดหลายคดี แล้วข้อความในคำพิพากษาก็เป็นประโยชน์ต่อประวัติศาสตร์ประชาชนชาวไทยในกระบวนการต่อสู้ของภาคประชาชน ในจุดยืนของภาคประชาชน
ในเรื่องของความเป็นเอกภาพ ไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะว่าเรามีคดีร่วมกันเยอะแยะ สอง คือเรามีความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชนที่ร่วมต่อสู้กันมา ฉะนั้นความเป็นเอกภาพยังมีอยู่ ยืนยันได้ วันนี้อาจจะมีแกนนำ ผม มีคุณสุริยะใส และมีคนอื่นๆ ที่คุณสุริยะใสได้เรียนแล้วว่า ได้แสดงความเห็น ถึงแม้จะติดกิจธุระ ก็แสดงความเห็นมาในโซเชียลมีเดีย เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยในเรื่องนี้ เหมือนกับผมไม่สงสัยในจิตใจกล้าสู้การชนะของพี่น้องประชาชนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราจะไปถึงจุดแห่งชัยชนะและความเป็นธรรมให้ได้ครับ
สุริยะใส- เดี๋ยวรายละเอียดพวกนี้คณะทำงานจะไปรวบรวมแล้วทำเป็นหนังสืออีกฉบับหนึ่ง ที่คุณวีระจะนำยื่นวันจันทร์ นั่นจะเห็นภาพทั้งหมด วันนี้ขอบคุณสื่อมวลชนที่ยังติดตามและให้โอกาสพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เฝ้าติดตามและลุ้นดูข้อเท็จจริงและความยุติธรรม ขอบคุณมากครับ