สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) หลังจากนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของโลหะประเภทอื่นๆ
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ - COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 13.9 ดอลลาร์ หรือ 1.21% ปิดที่ระดับ 1,131.7 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงงหนักเมื่อคืนวันจันทร์ (28ก.ย.) นับเป็นการปิดลบวันเดียวรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หลังการดิ่งลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กระตุ้นให้นักลงทุนขายทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุน
ทองคำร่วงลงตามตลาดโลหะมีค่าประเภทอื่นๆ หลังจากมีรายงานว่า ทางการสวิตเซอร์แลนด์กำลังตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งที่ถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปั่นราคาโลหะมีค่า
นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้ โดยอาจปรับขึ้นในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.
ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ร่วงลงอย่างหนักในเดือนส.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กที่ระบุว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,001.89 จุด ร่วงลง 312.78 จุด หรือ -1.92% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,543.97 จุด ลดลง 142.53 จุด หรือ -3.04% ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 49.57 จุด หรือ 2.57% ปิดที่ 1,881.77 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ลดลง 8.8% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งร่วงลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวลดลง 2.9%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับการส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด โดยล่าสุดเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า เขาเชื่อว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้
"ผมคาดหวังว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้" เขากล่าว และเสริมว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.
คำแถลงครั้งล่าสุดถือเป็นการแสดงความเห็นครั้งแรกของนายดัดลีย์ นับตั้งแต่ที่เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย. และสอดคล้องกับการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ที่ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ตราบใดที่ภาวะเงินเฟ้อยังคงมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะหนุนการจ้างงาน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 109.4 ในเดือนส.ค. จากระดับ 110.9 ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.27 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 44.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.26 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 47.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ก.ย. เพิ่มขึ้น 19,000 บาร์เรล แตะที่ 9.136 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจจะทำให้อุปสงค์พลังงานลดน้อยลงด้วย โดยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ลดลง 8.8% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งร่วงลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวลดลง 2.9%
ส่วนในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรม ลดลง 1.9% เทียบรายปี สู่ระดับ 3.77 ล้านล้านหยวน ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค.ที่ลดลงเพียง 1%
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ หลังจากที่ EIA เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ก.ย. ลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 454 ล้านบาร์เรล ซึ่งปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ - COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 13.9 ดอลลาร์ หรือ 1.21% ปิดที่ระดับ 1,131.7 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงงหนักเมื่อคืนวันจันทร์ (28ก.ย.) นับเป็นการปิดลบวันเดียวรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หลังการดิ่งลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กระตุ้นให้นักลงทุนขายทองคำเพื่อชดเชยการขาดทุน
ทองคำร่วงลงตามตลาดโลหะมีค่าประเภทอื่นๆ หลังจากมีรายงานว่า ทางการสวิตเซอร์แลนด์กำลังตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งที่ถูกสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปั่นราคาโลหะมีค่า
นอกจากนี้ ตลาดทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ส่งสัญญาณว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้ โดยอาจปรับขึ้นในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.
ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ร่วงลงอย่างหนักในเดือนส.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กที่ระบุว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,001.89 จุด ร่วงลง 312.78 จุด หรือ -1.92% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,543.97 จุด ลดลง 142.53 จุด หรือ -3.04% ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 49.57 จุด หรือ 2.57% ปิดที่ 1,881.77 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ลดลง 8.8% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งร่วงลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวลดลง 2.9%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนเริ่มกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับการส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด โดยล่าสุดเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กกล่าวว่า เขาเชื่อว่าเฟดจะยุติการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก่อนสิ้นปีนี้
"ผมคาดหวังว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไปของปีนี้" เขากล่าว และเสริมว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนต.ค. หรือธ.ค.
คำแถลงครั้งล่าสุดถือเป็นการแสดงความเห็นครั้งแรกของนายดัดลีย์ นับตั้งแต่ที่เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย. และสอดคล้องกับการกล่าวสุนทรพจน์ของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ที่ระบุว่า เฟดมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ตราบใดที่ภาวะเงินเฟ้อยังคงมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะหนุนการจ้างงาน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 109.4 ในเดือนส.ค. จากระดับ 110.9 ในเดือนก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับข้อมูลที่บ่งชี้ถึงภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้น รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.27 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 44.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.26 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 47.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ก.ย. เพิ่มขึ้น 19,000 บาร์เรล แตะที่ 9.136 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจจะทำให้อุปสงค์พลังงานลดน้อยลงด้วย โดยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนระบุว่า ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีน ลดลง 8.8% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งร่วงลงอย่างมากจากเดือนก.ค.ที่ปรับตัวลดลง 2.9%
ส่วนในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรม ลดลง 1.9% เทียบรายปี สู่ระดับ 3.77 ล้านล้านหยวน ซึ่งปรับตัวลงมากกว่าในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค.ที่ลดลงเพียง 1%
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ หลังจากที่ EIA เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ก.ย. ลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 454 ล้านบาร์เรล ซึ่งปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน