ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนขานรับยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค.ของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายปี
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 21 ก.ย. ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 125.61 จุด หรือ 0.77% ปิดที่ 16,510.19 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 8.94 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 1,966.97 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 1.73 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 4,828.96 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มมีมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนส.ค.ร่วงลง 4.8% สู่ระดับ 5.31 ล้านยูนิต แต่หากเทียบรายปีพบว่า ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 6.2%ในเดือนส.ค.
นักลงทุนจับตาดูการประชุมครั้งต่อไปของเฟดซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 ต.ค.นี้ เพื่อประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ด้านดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากแรงฉุดของหุ้นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งลดลงอย่างหนักหลังนาง ฮิลลารี คลินตัน หนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ประกาศว่า จะมีมาตรการจัดการกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของราคายาบางประเภท ขณะที่หุ้นของบริษัทกลุ่มเภสัชกรรมก็ลดลงเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนต.ค. พุ่งขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 1.45 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกเหนือจากปัจจัยด้านอุปทานแล้ว ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ อันเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
ด้านราคาทองคำในวันจันทร์ (21ก.ย.) ปรับตัวลงหลังการตัดสินใจคงดอกเบี้ยของเฟด ช่วยดันดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและส่งผลให้อุปสงค์สินทรัพย์ต่ำลดน้อยลงสวนทางกัน
โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 5.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,132.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 21 ก.ย. ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 125.61 จุด หรือ 0.77% ปิดที่ 16,510.19 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 8.94 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 1,966.97 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 1.73 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 4,828.96 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มมีมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากนายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนส.ค.ร่วงลง 4.8% สู่ระดับ 5.31 ล้านยูนิต แต่หากเทียบรายปีพบว่า ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 6.2%ในเดือนส.ค.
นักลงทุนจับตาดูการประชุมครั้งต่อไปของเฟดซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 ต.ค.นี้ เพื่อประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดได้ออกมาส่งสัญญาณเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ด้านดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากแรงฉุดของหุ้นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งลดลงอย่างหนักหลังนาง ฮิลลารี คลินตัน หนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ประกาศว่า จะมีมาตรการจัดการกับปัญหาการเพิ่มขึ้นของราคายาบางประเภท ขณะที่หุ้นของบริษัทกลุ่มเภสัชกรรมก็ลดลงเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.ย.) หลังจากมีรายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนต.ค. พุ่งขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 46.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 1.45 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
นอกเหนือจากปัจจัยด้านอุปทานแล้ว ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ อันเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
ด้านราคาทองคำในวันจันทร์ (21ก.ย.) ปรับตัวลงหลังการตัดสินใจคงดอกเบี้ยของเฟด ช่วยดันดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและส่งผลให้อุปสงค์สินทรัพย์ต่ำลดน้อยลงสวนทางกัน
โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 5.00 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,132.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
