สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งแรงเมื่อคืนวันศุกร์ (18 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 20.8 ดอลลาร์ หรือ 1.86% ปิดที่ 1,137.8 ดอลลาร์/ออนซ์
หลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ไว้ที่ระดับเกือบศูนย์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ภายหลังการประชุมนโยบายการเงินเป็นระยะเวลา 2 วันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของสหรัฐ และความผันผวนในตลาดการเงินเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวลดลงอย่างมากภายหลังการประกาศของเฟด นักวิเคราะห์ระบุว่า โดยปกติดอลลาร์และราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงกันข้าม ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยบวกต่อสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงทองคำที่ซื้อขายเป็นเงินสกุลดอลลาร์ เนื่องจากจะมีราคาลดลงสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 2.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 44.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงหลังจากเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ไว้ที่ระดับเกือบศูนย์ โดยราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากแถลงการณ์ของเฟดที่บ่งชี้ถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 455.9 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล
ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ (18 ก.ย.) หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ซึ่งกระตุ้นความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 290.16 จุด หรือ 1.74% ปิดที่ 16,384.58 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 32.17 จุด หรือ 1.62% ปิดที่ 1,958.03 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 66.72 จุด หรือ 1.36% ปิดที่ 4,827.23 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงหลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเกือบ 0% หลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพฤหัสบดี เนื่องจากไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันศุกร์ เทรดเดอร์จึงให้ความสำคัญกับการตีความหมายแถลงการณ์ของเฟด
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีให้คงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ท่ามกลางความวิตกต่อเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ และตลาดการเงินที่ไร้เสถียรภาพ ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แต่ก็เปิดช่องสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อยในช่วงต่อไปของปีนี้
เฟดระบุว่า ถึงแม้ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง แต่ความผันผวนในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะทำให้มีแรงกดดันในช่วงขาลงต่อเงินเฟ้อในระยะใกล้
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของเฟดเชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดระบุว่า 13 ใน 17 สมาชิกบอร์ดคณะกรรมการของเฟดต้องการเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวภายในปี 2558
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากที่เฟดชะลอการกลับไปใช้นโยบายการเงินที่ปกติ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 20.8 ดอลลาร์ หรือ 1.86% ปิดที่ 1,137.8 ดอลลาร์/ออนซ์
หลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ไว้ที่ระดับเกือบศูนย์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ภายหลังการประชุมนโยบายการเงินเป็นระยะเวลา 2 วันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของสหรัฐ และความผันผวนในตลาดการเงินเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวลดลงอย่างมากภายหลังการประกาศของเฟด นักวิเคราะห์ระบุว่า โดยปกติดอลลาร์และราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตรงกันข้าม ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยบวกต่อสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงทองคำที่ซื้อขายเป็นเงินสกุลดอลลาร์ เนื่องจากจะมีราคาลดลงสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ (18 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 2.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 44.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนพ.ย.ลดลง 1.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงหลังจากเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (federal funds rate) ไว้ที่ระดับเกือบศูนย์ โดยราคาน้ำมันได้รับแรงกดดันจากแถลงการณ์ของเฟดที่บ่งชี้ถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 455.9 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล
ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ (18 ก.ย.) หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ซึ่งกระตุ้นความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 290.16 จุด หรือ 1.74% ปิดที่ 16,384.58 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 32.17 จุด หรือ 1.62% ปิดที่ 1,958.03 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 66.72 จุด หรือ 1.36% ปิดที่ 4,827.23 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงหลังจากเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเกือบ 0% หลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพฤหัสบดี เนื่องจากไม่มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในวันศุกร์ เทรดเดอร์จึงให้ความสำคัญกับการตีความหมายแถลงการณ์ของเฟด
แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีให้คงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ท่ามกลางความวิตกต่อเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ และตลาดการเงินที่ไร้เสถียรภาพ ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ แต่ก็เปิดช่องสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อยในช่วงต่อไปของปีนี้
เฟดระบุว่า ถึงแม้ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง แต่ความผันผวนในตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ และมีแนวโน้มที่จะทำให้มีแรงกดดันในช่วงขาลงต่อเงินเฟ้อในระยะใกล้
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของเฟดเชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดระบุว่า 13 ใน 17 สมาชิกบอร์ดคณะกรรมการของเฟดต้องการเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าวภายในปี 2558
นักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากที่เฟดชะลอการกลับไปใช้นโยบายการเงินที่ปกติ