เอเอฟพี/มาร์เกตวอตช์ - น้ำมันลงแรงเมื่อวันศุกร์ (18 ก.ย.) ทำสถิติเป็นวันที่ปรับลงมากที่สุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ หลังเฟดอ้างความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกเป็นเหตุผลสำหรับคงดอกเบี้ย ปัจจัยดังกล่าวก็ฉุดให้วอลล์สตรีทปิดลบหนักและทองคำทะยานกว่า 20 ดอลลาร์
น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 2.22 ดอลลาร์ ปิดที่ 44.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตลอดทั้งสัปดาห์ขยับลงรวมร้อยละ 3.2
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ลงมติเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ก.ย.) คงอัตราดอกเบี้นนโยบายใกล้ๆ ร้อยละ 0 ต่อไป โดยอ้างถึงภาวะชะลอตัวของจีนที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกา ซึ่งจะกัดเซาะอุปสงค์ทางพลังงานในชาติผู้บริโภครายใหญ่
ในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมในวันพฤหัสบดี (17 ก.ย.) นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ บอกว่า “เมื่อเร็วๆ นี้แนวโน้มในต่างแดนดูเหมือนจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น รวมถึงยังมีความกังวลอย่างสูงต่อการเติบโตในจีนและเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ที่นำความผัวผวนมาสู่ตลาดการเงิน” เธอกล่าว
การอ้างความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเป็นปัจจัยในการยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ก่อความวิตกแก่นักลงทุนและฉุดให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ (18 ก.ย.) ปิดลบอย่างแรงเช่นกัน
ดาวโจนส์ ลดลง 289.95 จุด (1.74 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16.384.79 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 32.12 จุด (1.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,958.08 จุด แนสแดค ลดลง 66.72 จุด (1.36 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,827.23 จุด
นักวิเคราะห์บอกว่า การตัดสินใจของเฟดในการคงอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันพฤหัสบดี (17 ก.ย.) แสดงให้เห็นถึงความกังวล เพราะเป็นการบอกเป็นนัยๆว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับลมต้าน นอกจากนี้แล้วการไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย ยังสร้างความไม่แน่ใจแก่นักลงทุนต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของอเมริกา หลังก่อนหน้านี้เคยบ่งชี้ว่าจวนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว
ด้านราคาทองคำในวันศุกร์ (18 ก.ย.) ปิดสูงสุดเป็นลำดับ 2 ของเดือนกันยายน จากแรงหนุนที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ต่อไป โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 20.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,137.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เหล่านักวิเคราะบอกว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบทางลบแก่ทองคำเพราะมันจะไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกต่อไป นอกจากนี้แล้วมันจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งให้สินค้าโภคภัณฑ์ราคาดอลลาร์แพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
