นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อเก็บภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) แอลพีจีเพิ่มขึ้น รวมทั้งพิจารณาจัดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ ตัวถังแอลพีจีที่จะดัดแปลงนำมาติดตั้งใช้ในรถยนต์เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งหวังว่าจะทำให้ปริมาณรถยนต์ที่จะหันมาติดตั้งแอลพีจีลดต่ำลง เนื่องจากที่ผ่านมาการใช้แอลพีจีในภาคขนส่งมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ทั้งปริมาณการใช้และจำนวนปั๊มที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้ต้องนำเข้าแอลพีจี เนื่องจากการผลิตในประเทศมีไม่เพียงพอ และกระทรวงพลังงานมีนโยบายชัดเจนไม่ส่งเสริมการใช้แอลพีจี ในภาคขนส่ง
นอกจากนี้ต้องการส่งสัญญาณไปยังธุรกิจปั๊มแอลพีจี ควรมีการชะลอการขยายจำนวนปั๊มเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีจำนวนปั๊มแอลพีจีอยู่2,003แห่ง เพราะอนาคตจะมีการเติบโตที่ลดลงแน่นอน ซึ่งหากปั๊มแอลพีจีที่มีมากขึ้นต่อเนื่อง จะยิ่งประสบปัญหาขาดทุนในอนาคต และกระทรวงพลังงานมีแนวคิดที่จะออกมาตรการสำคัญคือการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของแอลพีจีภาคขนส่งให้เท่ากับน้ำมัน เพื่อความเท่าเทียมกันตามค่าความร้อนซึ่งปัจจุบันน้ำมันมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเฉลี่ย 4-5 บาทต่อลิตรโดยแนวทางจะพิจารณาจัดเก็บภาษีฯที่หัวจ่าย เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติและป้องกันไม่ให้มีการลักลอบใช้แอลพีจีข้ามประเภท ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวหากนำมาใช้ราคาแอลพีจี ก็จะสูงขึ้นอีกทำให้ราคาแอลพีจีภาคขนส่งขายปลีกไม่ต่างจากน้ำมันมากนัก
อย่างไรก็ตามราคาแอลพีจีขนส่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกแน่นอน โดยเฉพาะช่วงราคาน้ำมันถูกลงจะชะลอให้รถยนต์ที่จะดัดแปลงไปใช้แอลพีจี ชะลอตัว ซึ่งในที่สุดแล้วจำนวนรถแอลพีจีจะลดลงในอนาคต สังเกตได้จากในเดือนก.พ. ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้รถแอลพีจีมียอดลดลง 10% แล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยจากเดิม 1.2 ล้านคันเหลือเพียง 1 ล้านคันเศษๆ เท่านั้น โดยคาดว่าไม่มีการดัดแปลงเพิ่มขึ้นและที่หายไปน่าจะเกิดจากรถเก่าที่หมดอายุ
นอกจากนี้ต้องการส่งสัญญาณไปยังธุรกิจปั๊มแอลพีจี ควรมีการชะลอการขยายจำนวนปั๊มเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่มีจำนวนปั๊มแอลพีจีอยู่2,003แห่ง เพราะอนาคตจะมีการเติบโตที่ลดลงแน่นอน ซึ่งหากปั๊มแอลพีจีที่มีมากขึ้นต่อเนื่อง จะยิ่งประสบปัญหาขาดทุนในอนาคต และกระทรวงพลังงานมีแนวคิดที่จะออกมาตรการสำคัญคือการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของแอลพีจีภาคขนส่งให้เท่ากับน้ำมัน เพื่อความเท่าเทียมกันตามค่าความร้อนซึ่งปัจจุบันน้ำมันมีการเก็บภาษีสรรพสามิตเฉลี่ย 4-5 บาทต่อลิตรโดยแนวทางจะพิจารณาจัดเก็บภาษีฯที่หัวจ่าย เพื่อให้ง่ายต่อการปฏิบัติและป้องกันไม่ให้มีการลักลอบใช้แอลพีจีข้ามประเภท ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวหากนำมาใช้ราคาแอลพีจี ก็จะสูงขึ้นอีกทำให้ราคาแอลพีจีภาคขนส่งขายปลีกไม่ต่างจากน้ำมันมากนัก
อย่างไรก็ตามราคาแอลพีจีขนส่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกแน่นอน โดยเฉพาะช่วงราคาน้ำมันถูกลงจะชะลอให้รถยนต์ที่จะดัดแปลงไปใช้แอลพีจี ชะลอตัว ซึ่งในที่สุดแล้วจำนวนรถแอลพีจีจะลดลงในอนาคต สังเกตได้จากในเดือนก.พ. ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลให้รถแอลพีจีมียอดลดลง 10% แล้วเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยจากเดิม 1.2 ล้านคันเหลือเพียง 1 ล้านคันเศษๆ เท่านั้น โดยคาดว่าไม่มีการดัดแปลงเพิ่มขึ้นและที่หายไปน่าจะเกิดจากรถเก่าที่หมดอายุ