รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเช้าวันที่ 30 สิงหาคม 2557 นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Kamnoon Sidhisamarn เรียกร้องนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทบทวนระบบสัมปทานปิโตรเลี่ยมในประเทศไทย โดยมีรายละเอียดดังนี้
เร่งทบทวนระบบสัมปทานเถิดท่านนายกฯตู่
ไม่แน่ใจว่าการเปิดเผยของรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติที่ว่าหัวหน้าคสช.หรือนายกรัฐมนตรีขอให้งดส่งออกปิโตรเลียมเป็นการชั่วคราว มีสาระรายละเอียดที่เป็นทางการอย่างไร
จะเป็นการใช้อำนาจตามพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 61 หรือไม่
"ในกรณีที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศหรือเพื่อให้มีปิโตรเลียมเพียงพอกับความต้องการใช้ในราชอาณาจักร ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศห้ามส่งปิโตรเลียมที่ผู้รับสัมปทานผลิตได้ทั้งหมดหรือบางส่วนออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามส่งไป ณ ที่ใดเป็นการชั่วคราวได้"
น่าจะยังเป็นเพียงการหารือและขอร้องเฉย ๆ ก่อน
แต่ก็เหมาะสมกับการเป็นข่าวพาดหัวตัวไม้ของนสพ.กรุงเทพธุรกิจวันนี้ เพราะถือเป็นความพยายามแก้ปัญหาพื้นฐานที่ดี
คงเป็นความพยายามที่จะให้ประชาชนคนไทยได้ใช้พลังงานในราคาที่ถูกลง หากเป็นการใช้ปิโตรเลียมที่ผลิตในประเทศทั้งหมด
แต่ก็ต้องบอกว่าจะยังมีข้อติดขัดอยู่ดี
เพราะระบบสัมปทานปิโตรเลี่ยมในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ 24 เมษายน 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ปิโตรเลียมที่ขุดขึ้นมาได้มีโอกาสใช้ในประเทศในราคาถูก เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64 (2) ว่า
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่า รัฐจะไม่จำกัดการส่งปิโตรเลี่ยมออกนอกราชอาณาจักร"
นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทานส่งออกปิโตรเลียมที่ขุดขึ้นมาได้โดยไม่จำกัดแล้ว พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ยังระบุไว้ว่าหากจะขายภายในราชอาณาจักรให้คิดราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในมาตรา 57 (1) และ (2) และมาตรา 58 (1) ตามราคาตลาดโลก ดังนี้
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราชอาณาจักร" - มาตรา 57(1)
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิทินที่แล้วมา..." - มาตรา 57(2)
"ในการขายก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เพื่อใช้ในราชอาณาจักร ให้ผู้รับสัมปทานขายในราคาดังต่อไปนี้ (1) ราคาที่ตกลงกับคณะกรรมการโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี แต่ราคาที่ตกลงกันนั้นต้องไม่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างของคุณภาพและค่าขนส่งด้วย" - มาตรา 58 (1)
กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออก เพราะถึงจะให้ขายในราชอาณาจักรได้ก็ให้ขายในราคาตลาดโลก
คำว่า 'ไม่เกิน' และ 'ไม่สูงกว่า' ในทั้ง 3 อนุมาตราที่ยกมา คุ้มครองผู้บริโภคในราชอาณาจักรเจ้าของทรัพยากรปิโตรเลียมแต่เดิมเพียงไม่ให้ต้องบริโภคทรัพยากรของตัวเองแต่เดิมในราคาสูงกว่าราคาตลาดโลกเท่านั้น
อาจเกิดคำถามขึ้นมาตรงนี่ว่าทรัพยากรขุดได้ในราชอาณาจักรแท้ ๆ ทำไมยังต้องซื้อขายกันในราคาตลาดโลก แล้วเราจะมีทรัพยากรไว้ทำอะไร
คำตอบง่าย ๆ ก็คือเมื่อเราให้สัมปทานไปก็เท่ากับยกกรรมสิทธิ์ให้ผู้รับสัมปทานไปตลอดอายุสัมปทาน หาใช่กรรมสิทธิ์ของเราไม่ กฎหมายก็ต้องคุ้มครองสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์
นี่แหละคือปัญหาของระบบสัมทปานที่ภาคประชาชนเรียกร้องให้ทบทวน
จะมีกรณีเดียวที่การขายปิโตรเลียมในราชอาณาจักรจะถูกลงกว่าราคาตลาดโลก ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 57(3) ในกรณีของน้ำมันดิบ และมาตรา 58 (2) ในกรณีของก๊าซธรรมชาติเท่านั้น
"ในกรณีที่น้ำมันดิบที่ผลิตได้ทั่วราชอาณาจักรมีปริมาณถึงสิบเท่าขึ้นไปของความต้องการใช้ในราชอาณาจักร ให้ขายในราคาที่มีกำไรตามสมควร โดยคำนึงถึงข้อตกลงที่เทียบเคียงกันได้ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่" - มาตรา 57 (3)
"ในกรณีที่ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ทั่วราชอาณาจักรมีปริมาณมากกว่าความต้องการใช้ภายในราชอาณาจักร ให้ขายในราคาที่มีกำไรตามสมควร โดยคำนึงถึงกรณีแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งมวล และข้อตกลงที่เทียบเคียงกันได้ในประเทศผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่"
เงื่อนไขทั้งสองไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะโดยข้อเท็จจริงเราผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติได้ไม่พอใช้ในประเทศ
จะเห็นได้ชัดเจนว่าในกรณีของน้ำมันดิบนั้นกฎหมายเขียนไว้โหดมาก จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนไทยจะได้ใช้น้ำมันดิบที่ขุดได้ในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลก
ถึงจะให้งดการส่งออกน้ำมันดิบชั่วคราว ก็ยากที่จะให้ราคาน้ำมันภายในประเทศถูกลงได้หากไม่มีการแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ชนิดทบทวนใหม่หมด
และก่อนจะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ระบบสัมปทานตามพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องได้รับการทบทวนอย่างจริงจัง
เร่งทบทวนระบบสัมปทานเถิดท่านนายกฯตู่
ไม่แน่ใจว่าการเปิดเผยของรองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติที่ว่าหัวหน้าคสช.หรือนายกรัฐมนตรีขอให้งดส่งออกปิโตรเลียมเป็นการชั่วคราว มีสาระรายละเอียดที่เป็นทางการอย่างไร
จะเป็นการใช้อำนาจตามพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 61 หรือไม่
"ในกรณีที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศหรือเพื่อให้มีปิโตรเลียมเพียงพอกับความต้องการใช้ในราชอาณาจักร ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศห้ามส่งปิโตรเลียมที่ผู้รับสัมปทานผลิตได้ทั้งหมดหรือบางส่วนออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามส่งไป ณ ที่ใดเป็นการชั่วคราวได้"
น่าจะยังเป็นเพียงการหารือและขอร้องเฉย ๆ ก่อน
แต่ก็เหมาะสมกับการเป็นข่าวพาดหัวตัวไม้ของนสพ.กรุงเทพธุรกิจวันนี้ เพราะถือเป็นความพยายามแก้ปัญหาพื้นฐานที่ดี
คงเป็นความพยายามที่จะให้ประชาชนคนไทยได้ใช้พลังงานในราคาที่ถูกลง หากเป็นการใช้ปิโตรเลียมที่ผลิตในประเทศทั้งหมด
แต่ก็ต้องบอกว่าจะยังมีข้อติดขัดอยู่ดี
เพราะระบบสัมปทานปิโตรเลี่ยมในประเทศไทยที่มีมาตั้งแต่ปี 2514 โดยใช้พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อ 24 เมษายน 2514 ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ปิโตรเลียมที่ขุดขึ้นมาได้มีโอกาสใช้ในประเทศในราคาถูก เพราะบัญญัติไว้ในมาตรา 64 (2) ว่า
"ให้ผู้รับสัมปทานได้รับหลักประกันว่า รัฐจะไม่จำกัดการส่งปิโตรเลี่ยมออกนอกราชอาณาจักร"
นอกจากให้สิทธิผู้รับสัมปทานส่งออกปิโตรเลียมที่ขุดขึ้นมาได้โดยไม่จำกัดแล้ว พ.ร.บ.ปิโตรเลี่ยม พ.ศ. 2514 ยังระบุไว้ว่าหากจะขายภายในราชอาณาจักรให้คิดราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในมาตรา 57 (1) และ (2) และมาตรา 58 (1) ตามราคาตลาดโลก ดังนี้
"ในกรณีที่ยังไม่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาน้ำมันดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศส่งถึงโรงกลั่นน้ำมันภายในราชอาณาจักร" - มาตรา 57(1)
"ในกรณีที่มีผู้รับสัมปทานส่งน้ำมันดิบที่ผลิตได้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นประจำ ให้ขายไม่เกินราคาเฉลี่ยที่ได้รับจริงสำหรับน้ำมันดิบที่ผู้รับสัมปทานทุกรายส่งออกนอกราชอาณาจักรในเดือนปฏิทินที่แล้วมา..." - มาตรา 57(2)
"ในการขายก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้เพื่อใช้ในราชอาณาจักร ให้ผู้รับสัมปทานขายในราคาดังต่อไปนี้ (1) ราคาที่ตกลงกับคณะกรรมการโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี แต่ราคาที่ตกลงกันนั้นต้องไม่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความแตกต่างของคุณภาพและค่าขนส่งด้วย" - มาตรา 58 (1)
กฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ผู้รับสัมปทานเพื่อการส่งออก เพราะถึงจะให้ขายในราชอาณาจักรได้ก็ให้ขายในราคาตลาดโลก
คำว่า 'ไม่เกิน' และ 'ไม่สูงกว่า' ในทั้ง 3 อนุมาตราที่ยกมา คุ้มครองผู้บริโภคในราชอาณาจักรเจ้าของทรัพยากรปิโตรเลียมแต่เดิมเพียงไม่ให้ต้องบริโภคทรัพยากรของตัวเองแต่เดิมในราคาสูงกว่าราคาตลาดโลกเท่านั้น
อาจเกิดคำถามขึ้นมาตรงนี่ว่าทรัพยากรขุดได้ในราชอาณาจักรแท้ ๆ ทำไมยังต้องซื้อขายกันในราคาตลาดโลก แล้วเราจะมีทรัพยากรไว้ทำอะไร
คำตอบง่าย ๆ ก็คือเมื่อเราให้สัมปทานไปก็เท่ากับยกกรรมสิทธิ์ให้ผู้รับสัมปทานไปตลอดอายุสัมปทาน หาใช่กรรมสิทธิ์ของเราไม่ กฎหมายก็ต้องคุ้มครองสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์
นี่แหละคือปัญหาของระบบสัมทปานที่ภาคประชาชนเรียกร้องให้ทบทวน
จะมีกรณีเดียวที่การขายปิโตรเลียมในราชอาณาจักรจะถูกลงกว่าราคาตลาดโลก ก็ต่อเมื่อเกิดเงื่อนไขตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 57(3) ในกรณีของน้ำมันดิบ และมาตรา 58 (2) ในกรณีของก๊าซธรรมชาติเท่านั้น
"ในกรณีที่น้ำมันดิบที่ผลิตได้ทั่วราชอาณาจักรมีปริมาณถึงสิบเท่าขึ้นไปของความต้องการใช้ในราชอาณาจักร ให้ขายในราคาที่มีกำไรตามสมควร โดยคำนึงถึงข้อตกลงที่เทียบเคียงกันได้ในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่" - มาตรา 57 (3)
"ในกรณีที่ก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ทั่วราชอาณาจักรมีปริมาณมากกว่าความต้องการใช้ภายในราชอาณาจักร ให้ขายในราคาที่มีกำไรตามสมควร โดยคำนึงถึงกรณีแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งมวล และข้อตกลงที่เทียบเคียงกันได้ในประเทศผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่"
เงื่อนไขทั้งสองไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะโดยข้อเท็จจริงเราผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติได้ไม่พอใช้ในประเทศ
จะเห็นได้ชัดเจนว่าในกรณีของน้ำมันดิบนั้นกฎหมายเขียนไว้โหดมาก จนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนไทยจะได้ใช้น้ำมันดิบที่ขุดได้ในประเทศต่ำกว่าราคาตลาดโลก
ถึงจะให้งดการส่งออกน้ำมันดิบชั่วคราว ก็ยากที่จะให้ราคาน้ำมันภายในประเทศถูกลงได้หากไม่มีการแก้ไขพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ชนิดทบทวนใหม่หมด
และก่อนจะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ระบบสัมปทานตามพ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ต้องได้รับการทบทวนอย่างจริงจัง