เศรษฐกิจญี่ปุ่นปี 2013 ที่ผ่านมา ทำผลงานดีที่สุดในรอบ 3 ปี ทว่า อัตราขยายตัวที่แผ่วกว่าคาดหมายในช่วงปลายปี กำลังเป็นโจทย์ท้าทายผู้วางนโยบาย ขณะเดียวกับที่มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ของรัฐบาลบ่งชี้สัญญาณน้อยมากว่าช่วยหนุนนำการบริโภคและการส่งออก มิหนำซ้ำแผนการขึ้นภาษีการขายในเดือนเมษายนอาจผสมโรงฉุดรั้งการฟื้นตัวต่อไปอีกของปีนี้
อัตราเติบโตด้วยระดับ 1.6% ซึ่งทางการญี่ปุ่นประกาศออกมาในวันจันทร์ (17 ก.พ.) ถือเป็นผลงานตลอดทั้งปีครั้งแรกภายใต้ “อาเบะโนมิส์” หรือนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ นับแต่ที่เขาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งตอนปลายปี 2012 จากการชูธงฟื้นสถานะมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกของญี่ปุ่น หลังจากถูกจีนชิงตำแหน่งเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกไป
ปี 2012 นั้น เศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยขยายตัว 1.4% หลังจากติดลบ 0.5% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากญี่ปุ่นต้องเผชิญภัยพิบัติแผ่นดินไหว-คลื่นสึนามิและวิกฤตนิวเคลียร์ที่เป็นผลพวงตามมา
อากิระ อามาริ รัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นแจกแจงในวันจันทร์ด้วยว่า อุปสงค์ภายในประเทศอยู่ในสถานะที่ดี และแนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในภาวะขาขึ้นโดยได้รับการหนุนนำจากอุปสงค์ในภาคเอกชน บ่งชี้ว่า การผลักดันเพื่อกระตุ้นการเติบโตและหยุดยั้งภาวะเงินฝืดเรื้อรัง กำลังเริ่มส่งผลเป็นรูปธรรม
นับแต่ที่อาเบะรับตำแหน่งตอนปลายปี 2012 นโยบายอาเบะโนมิกส์ส่งผลให้เงินเยนอ่อนลงถึงราว 25% เมื่อเทียบดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ส่งออกแดนอาทิตย์อุทัย ขณะที่ดัชนีหุ้นนิกเกอิพุ่งขึ้น 57% ในรอบปีที่ผ่านมา สร้างสถิติสูงสุดในรอบกว่า 4 ทศวรรษ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตรวดเร็วกว่าสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมสำคัญของโลก (จี7) ในช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว
ทว่า ข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคและของภาคธุรกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2013 ยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย บ่งชี้ให้เห็นความระแวดระวังของครัวเรือนและผู้บริหารบริษัทธุรกิจ และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อนโยบายอาบะโนมิกส์ นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงครึ่งหลังของปีที่อ่อนแอผิดคาด ยังกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมการฟื้นตัวในปีนี้
ทั้งนี้ จีดีพีของไตรมาส 4 ปีที่แล้วขยายตัวแค่ 03.% ต่ำกว่ามากจากความเห็นของพวกนักเศรษฐศาสตร์ตามการสำรวจของหนังสือพิมพ์นิเกอิ ชิมบุง ซึ่งคาดไว้ที่ 0.7%
โยชิฮิ ชินเกะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัยไดอิจิ ไลฟ์ ชี้ว่าสาเหตุใหญ่มาจากการส่งออกชะลอตัว ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนดีมานด์ที่ลดลงในตลาดเอเชีย รวมทั้งการที่บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่า แต่สำหรับปีนี้ ชินเกะมองว่า เศรษฐกิจที่เติบโตเข้มแข็งในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญสำหรับจีดีพีญี่ปุ่น
อัตราเติบโตด้วยระดับ 1.6% ซึ่งทางการญี่ปุ่นประกาศออกมาในวันจันทร์ (17 ก.พ.) ถือเป็นผลงานตลอดทั้งปีครั้งแรกภายใต้ “อาเบะโนมิส์” หรือนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ นับแต่ที่เขาคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งตอนปลายปี 2012 จากการชูธงฟื้นสถานะมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกของญี่ปุ่น หลังจากถูกจีนชิงตำแหน่งเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกไป
ปี 2012 นั้น เศรษฐกิจแดนอาทิตย์อุทัยขยายตัว 1.4% หลังจากติดลบ 0.5% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากญี่ปุ่นต้องเผชิญภัยพิบัติแผ่นดินไหว-คลื่นสึนามิและวิกฤตนิวเคลียร์ที่เป็นผลพวงตามมา
อากิระ อามาริ รัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นแจกแจงในวันจันทร์ด้วยว่า อุปสงค์ภายในประเทศอยู่ในสถานะที่ดี และแนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในภาวะขาขึ้นโดยได้รับการหนุนนำจากอุปสงค์ในภาคเอกชน บ่งชี้ว่า การผลักดันเพื่อกระตุ้นการเติบโตและหยุดยั้งภาวะเงินฝืดเรื้อรัง กำลังเริ่มส่งผลเป็นรูปธรรม
นับแต่ที่อาเบะรับตำแหน่งตอนปลายปี 2012 นโยบายอาเบะโนมิกส์ส่งผลให้เงินเยนอ่อนลงถึงราว 25% เมื่อเทียบดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ส่งออกแดนอาทิตย์อุทัย ขณะที่ดัชนีหุ้นนิกเกอิพุ่งขึ้น 57% ในรอบปีที่ผ่านมา สร้างสถิติสูงสุดในรอบกว่า 4 ทศวรรษ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตรวดเร็วกว่าสมาชิกอื่นๆ ในกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมสำคัญของโลก (จี7) ในช่วงครึ่งแรกของปีที่แล้ว
ทว่า ข้อมูลล่าสุดที่ระบุว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคและของภาคธุรกิจในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2013 ยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย บ่งชี้ให้เห็นความระแวดระวังของครัวเรือนและผู้บริหารบริษัทธุรกิจ และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อนโยบายอาบะโนมิกส์ นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในช่วงครึ่งหลังของปีที่อ่อนแอผิดคาด ยังกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับโมเมนตัมการฟื้นตัวในปีนี้
ทั้งนี้ จีดีพีของไตรมาส 4 ปีที่แล้วขยายตัวแค่ 03.% ต่ำกว่ามากจากความเห็นของพวกนักเศรษฐศาสตร์ตามการสำรวจของหนังสือพิมพ์นิเกอิ ชิมบุง ซึ่งคาดไว้ที่ 0.7%
โยชิฮิ ชินเกะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัยไดอิจิ ไลฟ์ ชี้ว่าสาเหตุใหญ่มาจากการส่งออกชะลอตัว ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนดีมานด์ที่ลดลงในตลาดเอเชีย รวมทั้งการที่บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนถูกกว่า แต่สำหรับปีนี้ ชินเกะมองว่า เศรษฐกิจที่เติบโตเข้มแข็งในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญสำหรับจีดีพีญี่ปุ่น