ไม่เพียงประเทศด้อยพัฒนาไกลปืนเที่ยงทั้งหลายเท่านั้นที่เผชิญการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างรุนแรง แม้กระทั่งรัฐสมาชิกทั้ง 28 ประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ก็ประสบกับปัญหานี้อย่างสาหัส ในระดับที่สร้างความสูญเสียอย่างน่าตระหนกตกใจถึงปีละ 120,000 ล้านยูโร (ราว 5.4 ล้านล้านบาท) หรือ 1% ของจีดีพีอียูโดยรวม ทั้งนี้ตามรายงานการสำรวจของของคณะกรรมาธิการยุโรป ที่นำออกเผยแพร่ในวันจันทร์ (3 ก.พ.)
รายงานสำรวจความคิดเห็นของประชาชนใน 28 ชาติสมาชิกเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นภายในประเทศของตน ซึ่งจัดทำขึ้นมาเป็นครั้งแรกฉบับนี้ ตีแผ่ให้เห็นว่า ยุโรปไม่ใช่ภูมิภาคที่ขาวสะอาดที่สุดในโลกอย่างที่คนชอบพูดกัน
ในแวดวงธุรกิจชองอียูมีความเชื่อในวงกว้างว่า วิธีเดียวในการประสบความสำเร็จคือการมีสายสัมพันธ์ทางการเมือง และบริษัทเกือบครึ่งที่ทำธุรกิจในยุโรปชี้ว่า คอร์รัปชั่นเป็นปัญหา ขณะที่พลเมืองอียูจำนวนมากคิดว่า ปัญหานี้รุนแรงขึ้นในระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เป็นต้นว่า บริษัทเกือบทั้งหมดในกรีซ สเปน และอิตาลีเชื่อว่า ปัญหาการทุจริตกำลังลุกลาม ตรงข้ามกับในเดนมาร์ก ฟินแลนด์ และสวีเดน ที่พบปัญหานี้ลดน้อยมาก
สอดคล้องกับดัชนีการคอร์รัปชั่นขององค์การเพื่อความโปร่งใสสากล ที่ระบุว่า กรีซเป็นประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุดในอียูโดยอยู่อันดับที่ 80 ของโลกร่วมกับจีน ส่วนเดนมาร์กมีการคอร์รัปชั่นน้อยที่สุด
เซซิเลีย มัลสตรอม กรรมาธิการด้านกิจการภายในของอียูที่เป็นผู้เผยแพร่รายงานฉบับนี้ ให้ความเห็นว่า คอร์รัปชั่นบั่นทอนความเชื่อมั่นของพลเมืองที่มีต่อสถาบันประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรป ลิดรอนรายได้จากภาษีของแต่ละประเทศ และบ่มเพาะองค์กรอาชญากรรม
พลเมืองอียูมากมายเชื่อว่า การลุกลามของคอร์รัปชั่นนั้น เป็นผลจากปัญหาเศรษฐกิจและการเงินในยูโรโซนที่สืบเนื่องมาจากวิกฤตหนี้
มัลสตรอมเสริมว่า ภาคก่อสร้างที่มักเกี่ยวข้องกับการประมูลงานราชการเป็นธุรกิจที่มีการทุจริตมากที่สุด โดยบริษัทที่ตอบแบบสอบถามเกือบ 80% ร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาคอร์รัปชั่น
กล่าวโดยรวมแล้ว ปัญหาคอร์รัปชั่นสร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจยุโรปถึงปีละ 120,000 ล้านยูโร หรือเกือบเท่าขนาดเศรษฐกิจของโรมาเนีย โดยมัลสตรอมชี้ว่า ตัวเลขนี้เป็นเพียงการประมาณการ และตัวเลขจริงๆ น่าจะสูงกว่านี้ ขณะที่ระดับความรุนแรงของปัญหานี้ถือว่า น่าตระหนกตกใจ และประเด็นหนึ่งที่ชัดเจนคือ ในยุโรปไม่มีเขตปลอดคอร์รัปชั่นเลย
รายงานสำรวจความคิดเห็นของประชาชนใน 28 ชาติสมาชิกเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นภายในประเทศของตน ซึ่งจัดทำขึ้นมาเป็นครั้งแรกฉบับนี้ ตีแผ่ให้เห็นว่า ยุโรปไม่ใช่ภูมิภาคที่ขาวสะอาดที่สุดในโลกอย่างที่คนชอบพูดกัน
ในแวดวงธุรกิจชองอียูมีความเชื่อในวงกว้างว่า วิธีเดียวในการประสบความสำเร็จคือการมีสายสัมพันธ์ทางการเมือง และบริษัทเกือบครึ่งที่ทำธุรกิจในยุโรปชี้ว่า คอร์รัปชั่นเป็นปัญหา ขณะที่พลเมืองอียูจำนวนมากคิดว่า ปัญหานี้รุนแรงขึ้นในระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เป็นต้นว่า บริษัทเกือบทั้งหมดในกรีซ สเปน และอิตาลีเชื่อว่า ปัญหาการทุจริตกำลังลุกลาม ตรงข้ามกับในเดนมาร์ก ฟินแลนด์ และสวีเดน ที่พบปัญหานี้ลดน้อยมาก
สอดคล้องกับดัชนีการคอร์รัปชั่นขององค์การเพื่อความโปร่งใสสากล ที่ระบุว่า กรีซเป็นประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุดในอียูโดยอยู่อันดับที่ 80 ของโลกร่วมกับจีน ส่วนเดนมาร์กมีการคอร์รัปชั่นน้อยที่สุด
เซซิเลีย มัลสตรอม กรรมาธิการด้านกิจการภายในของอียูที่เป็นผู้เผยแพร่รายงานฉบับนี้ ให้ความเห็นว่า คอร์รัปชั่นบั่นทอนความเชื่อมั่นของพลเมืองที่มีต่อสถาบันประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยุโรป ลิดรอนรายได้จากภาษีของแต่ละประเทศ และบ่มเพาะองค์กรอาชญากรรม
พลเมืองอียูมากมายเชื่อว่า การลุกลามของคอร์รัปชั่นนั้น เป็นผลจากปัญหาเศรษฐกิจและการเงินในยูโรโซนที่สืบเนื่องมาจากวิกฤตหนี้
มัลสตรอมเสริมว่า ภาคก่อสร้างที่มักเกี่ยวข้องกับการประมูลงานราชการเป็นธุรกิจที่มีการทุจริตมากที่สุด โดยบริษัทที่ตอบแบบสอบถามเกือบ 80% ร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาคอร์รัปชั่น
กล่าวโดยรวมแล้ว ปัญหาคอร์รัปชั่นสร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจยุโรปถึงปีละ 120,000 ล้านยูโร หรือเกือบเท่าขนาดเศรษฐกิจของโรมาเนีย โดยมัลสตรอมชี้ว่า ตัวเลขนี้เป็นเพียงการประมาณการ และตัวเลขจริงๆ น่าจะสูงกว่านี้ ขณะที่ระดับความรุนแรงของปัญหานี้ถือว่า น่าตระหนกตกใจ และประเด็นหนึ่งที่ชัดเจนคือ ในยุโรปไม่มีเขตปลอดคอร์รัปชั่นเลย