นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยผลสำรวจความเห็นสภาพคล่อง และสถานภาพธุรกิจไทย ระหว่างวันที่ 26 - 31 มีนาคม พบว่า ภาคเอกชนร้อยละ 54.9 เชื่อว่าจีดีพีของไทยปีนี้จะติดลบอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2 - 4 แต่ก็หวังว่าเศรษฐกิจในปี 2553 จะฟื้นตัว และจีดีพีจะเป็นบวกร้อยละ 3 - 4 โดยภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงิน และเร่งลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ในช่วงไตรมาส 3 รวมถึงเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนจำนวน 1.56 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจส่วนใหญ่ร้อยละ 74.9 ต่างประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่อง และร้อยละ 60 เข้าถึงสินเชื่อได้ยาก โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลกับยอดขายที่ตกลง และเชื่อว่าจะสามารถประคับประคองธุรกิจของตนเองได้อีกประมาณ 8 เดือน ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น และไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนเข้ามาเสริมสภาพคล่องได้ การจ้างงานอาจจะลดลงถึงร้อยละ 10 หรือทำให้เกิดคนว่างงานเพิ่มขึ้น 700,000 คน ทำให้ตัวเลขการว่างงานอยู่ที่ 1,500,000 คน ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ แต่ก็ยังมีภาคเอกชนอีกร้อยละ 11 ที่อาจจะขยายการลงทุน และขยายตลาดได้ในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ยังพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจมากที่สุดได้แก่สถานการณ์การเมือง รองลงมาคือวิกฤตเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจส่วนใหญ่ร้อยละ 74.9 ต่างประสบกับปัญหาขาดสภาพคล่อง และร้อยละ 60 เข้าถึงสินเชื่อได้ยาก โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงมีความกังวลกับยอดขายที่ตกลง และเชื่อว่าจะสามารถประคับประคองธุรกิจของตนเองได้อีกประมาณ 8 เดือน ซึ่งหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น และไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนเข้ามาเสริมสภาพคล่องได้ การจ้างงานอาจจะลดลงถึงร้อยละ 10 หรือทำให้เกิดคนว่างงานเพิ่มขึ้น 700,000 คน ทำให้ตัวเลขการว่างงานอยู่ที่ 1,500,000 คน ตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ แต่ก็ยังมีภาคเอกชนอีกร้อยละ 11 ที่อาจจะขยายการลงทุน และขยายตลาดได้ในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ยังพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจมากที่สุดได้แก่สถานการณ์การเมือง รองลงมาคือวิกฤตเศรษฐกิจโลก
