นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร.ปี 2540 และอดีต ส.ว.ยืนยัน ถึงแม้ว่าส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร เพราะเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญและมีความผิดทางกฎหมายอาญาฐานเป็นกบฏ แต่หลังจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้ผ่านการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญไปแล้ว ถือว่าประชาชนยอมรับ รวมถึงบทบัญญัติในมาตรา 309 ด้วย ส่วนประเด็นการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต เรียงเบอร์และ ส.ว.แบบสรรหา ซึ่งขัดต่อหลักความเสมอภาคของประชาชน จึงเสนอให้มีการเรียกร้องว่า บทบัญญัตินี้เป็นโมฆะหรือไม่
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธาน ส.ส.ร.ปี 50 เตือนสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล 316 คน ที่จะร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 122 ซึ่งอาจถูกถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 270 และหากมีการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ก็ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้สภาได้รับความเสียหาย เพราะการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้เสียงสมาชิกรัฐสภาเพียง จำนวน 1 ใน 5 หรือ 96 เสียงเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงการลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญบางมาตราไม่ได้มีปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบ แต่กลับมีขบวนการจ้องทำลายรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ ส.ส.ร.ลงมติรับรองและรัฐธรรมนูญได้ผ่านประชามติและการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม มีผลบังคับใช้แล้ว
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เห็นว่า รัฐบาลควรเร่งพิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับ เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ แทนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่ขัดข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลควรเลือกจังหวะเวลาให้เหมาะสม โดยต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนก่อน โดยให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญไปก่อน 1-2 ปี แต่หากรัฐบาลดึงดันที่จะเร่งแก้ไข ปัญหาก็จะลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
ด้านนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธาน ส.ส.ร.ปี 50 เตือนสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล 316 คน ที่จะร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือว่าเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 122 ซึ่งอาจถูกถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 270 และหากมีการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ก็ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้สภาได้รับความเสียหาย เพราะการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้เสียงสมาชิกรัฐสภาเพียง จำนวน 1 ใน 5 หรือ 96 เสียงเท่านั้น นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงการลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญบางมาตราไม่ได้มีปัญหาเรื่ององค์ประชุมไม่ครบ แต่กลับมีขบวนการจ้องทำลายรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ ส.ส.ร.ลงมติรับรองและรัฐธรรมนูญได้ผ่านประชามติและการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม มีผลบังคับใช้แล้ว
ขณะที่นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เห็นว่า รัฐบาลควรเร่งพิจารณาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกหลายฉบับ เพื่อให้รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ แทนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่ขัดข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลควรเลือกจังหวะเวลาให้เหมาะสม โดยต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนก่อน โดยให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญไปก่อน 1-2 ปี แต่หากรัฐบาลดึงดันที่จะเร่งแก้ไข ปัญหาก็จะลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
