อดีต ครม.ขิงแก่ ค้าน “สมัคร” แก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องฟังเสียงประชาชน ซึ่งเป็นผู้ลงประชามติผ่านกฎหมายดังกล่าว ชี้ประชาชนเคลื่อนไหวร่วมพันธมิตรฯ เพราะสังคมมีความเห็นตรงกันและต้องการแสดงออกให้รับรู้ วอนอย่าเพิกเฉยต่อพลังมวลชน
นายวรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะกฏหมายฉบับนี้ผ่านการลงประชามติจากประชาชน และตนเชื่อว่าคนที่มาลงประชามติไม่ใช่คนโง่ ดังนั้น การจะทำอะไรกับกฏหมายรัฐธรรมนูญก็จะต้องเคารพมติของประชาชน ไม่ใช่ว่าได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้วก็ใช้อำนาจเข้ามาแก้ไข เพราะการบริหารประเทศ ไม่ได้สิ้นสุดแค่การเลือกตั้งเสมอไป ซึ่งรัฐบาลจะมาอ้างว่าได้รับคะแนนเสียงข้างมากแล้วคิดจะแก้ไขกฏหมายหรือทำอะไรก็ได้ไม่ได้ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพิ่งประกาศใช้ได้ไม่กี่เดือนก็จะแก้เสียแล้ว บางมาตรายังไม่ได้ถูกหยิบยกมาใช้ด้วยซ้ำ หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ที่นักการเมืองกล่าวอ้างว่าเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย
สำหรับการเสวนาทางวิชาการของกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 28 มี.คที่ผ่านมา ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมากนั้น นายวรากรณ์ กล่าวว่า จะต้องเข้าใจว่าการแสดงออกทางด้านการเมืองของประชาชนเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนกระทำได้ การที่ประชาชนมาร่วมกิจกรรมจำนวนมากนั้นเพราะพวกเขารู้สึกว่า มีคนออกมาเคลื่อนไหวสิ่งที่ตรงกับใจและความคิดของตนเอง เมื่อไม่มีหนทางที่จะแสดงออกได้ ประชาชนก็ออกไปแสดงความรู้สึกร่วมกัน และเข้าร่วมกับคนที่คิดเหมือนกัน ซึ่งรัฐบาลไม่ควรละเลยจุดนี้ และต้องนำมาคำนึงถึงเป็นสำคัญในการบริหารประเทศ หรือดำเนินการเรื่องใดๆ ด้วย เพราะสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ชัดเจนว่าทำเพื่อใคร ไม่ได้ช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น เมื่อจะอ้างว่ามาจากประชาชน ก็ต้องฟังเสียงประชาชนด้วย
นายวรากรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ประเทศไทยมักจะคิดเอาว่าการเลือกตั้งดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จะถูกกล่าวหาว่าไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องใดให้เห็นผล แต่ต้องยอมรับว่า รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นรัฐบาลที่ไม่มีข้อกล่าวหาเรื่องทุจริต คอร์รัปชัน หรือการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ชอบแม้แต่นิดเดียว
ที่สำคัญ คือ คนไทยลืมง่าย ขณะนี้คนไทยลืมไปแล้วว่าก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ประเทศชาติและองค์กรอิสระตกอยู่ในภาวะเช่นไร ขณะนั้นเมื่อมีทหารปฏิวัติไม่มีใครโกรธ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจึงเริ่มมาคิดว่ารัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติไม่น่าจะดี และเรียกหาการเลือกตั้ง ซึ่งตนคิดว่า 1 ปีของรัฐบาลขิงแก่ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติเสียเวลา เพราะเป็นช่วงที่ประเทศต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และยืนยันว่า ครม.ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่มีใครที่เอนเอียงเข้าหากลุ่มอำนาจเก่า เพียงแต่ในระดับปฏิบัติเมื่อสั่งการลงไปถึงข้าราชการ ก็อาจจะมีความล่าช้าเพราะข้าราชการก็เกรงว่าเมื่ออำนาจเก่าหวนกลับมาอาจจะถูกไล่เบี้ยเอาได้