โดย : ปิ่น บุตรี (pinn109@hotmail.com)
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ถือเป็นเรื่องมงคลรับขวัญวันปีใหม่ กับข่าวดีที่ประเทศไทยได้อัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” จากประเทศศรีลังกา มาประดิษฐาน ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองไทยที่ได้มีการนำพระบรมเกศาธาตุ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งของพุทธศาสนา มาให้พุทธศาสนิกชนและผู้สนใจในเมืองไทยได้กราบสักการะ รับอานิสงส์ผลบุญอันแรงกล้า เสริมสิริมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน
สำหรับพระบรมเกศาธาตุที่อัญเชิญมานี้ ผมได้คัดสรร 9 เรื่องน่าสนใจ มาเป็นข้อมูลประกอบให้ผู้สนใจได้รับทราบในเบื้องต้น ก่อนที่จะเดินทางไปสักการะองค์จริง ดังนี้
1.รู้จักพระบรมเกศาธาตุ : “พระบรมเกศาธาตุ” หรือ “พระเกศาธาตุ” คือ เส้นผมพระพุทธเจ้า
พระบรมเกศาธาตุ มีความต่างจาก “พระบรมสารีริกธาตุ” ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดี ดังนี้
พระบรมสารีริกธาตุ คือ พระอัฐิของพระพุทธเจ้า ที่ได้หลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธองค์ ซึ่งหลังจากนั้นได้มีผู้นำไปเผยแผ่ตามสถานที่ต่าง ๆ
ส่วนพระบรมเกศาธาตุ คือ เส้นผมพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ประทานตอนที่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้ประทานพระบรมเกศาธาตุแก่บุคคลต่าง ๆ
ตามตำนานระบุ ว่า พระพุทธเจ้าได้ประทานพระบรมเกศาธาตุครั้งแรก (ช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 6-10) ให้กับ 2 พ่อค้าชาวมอญจากพม่า คือ ตปุสสะ และภัลลิกะ จำนวน 8 เส้น
หลังจาก 2 พ่อค้าชาวมอญผู้มีความเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธองค์ ได้มีการก่อสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งปัจจุบันก็คือ “มหาเจดีย์ชเวดากอง” อันลือลั่นแห่งเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา
สำหรับบ้านเรานั้นมีข้อมูลระบุว่า ที่พระธาตุลำปางหลวง (จ.ลำปาง) และ พระธาตุช่อแฮ (จ.แพร่) ต่างก็มีพระเกศาธาตุบรรจุอยู่ภายใน (ร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุ) ด้วยเช่นกัน
2.สถานที่ประดิษฐานดั้งเดิม : พระบรมเกศาธาตุองค์ที่อัญเชิญจากศรีลังกามายังประเทศไทยนี้ เดิมประดิษฐานอยู่ที่ “Yatihalagaya Raja Maha Vihara” วัดโบราณอายุกว่า 700 ปีที่อยู่ในความดูแลของวัดอัสคิริยามหาวิหาร และได้รับการปกปักรักษามาหลายชั่วอายุคน
3.สถานที่ประดิษฐานปัจจุบัน : พระบรมเกศาธาตุองค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ “ศรีศากยสิงเหสุคันธกุฏิ” (Sri Shakyasinghe Sugandha Kuti) ภายใน “เนลลิกาลา อินเตอร์เนชันแนล บุดดิสต์ เซ็นเตอร์” (Nelligala International Buddhist Centre) เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา
โดยเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ได้มีการอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุองค์นี้จากวัดโบราณ มาประดิษฐานที่เนลลิกาลาฯ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวศรีลังกาเดินทางมาสักการะได้สะดวกสบายขึ้น เนื่องจากวัดโบราณตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองแคนดี้ คนเดินทางไปสักการะลำบาก
4.ครั้งแรกในเมืองไทย : พระบรมเกศาธาตุองค์นี้ไม่เคยอัญเชิญมาในประเทศไทยมาก่อน นี่จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมเกศาธาตุ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา (และพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาพร้อมกันในครั้งนี้)
5.โครงการอัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” : การอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุจากศรีลังกามายังประเทศไทยครั้งนี้ มาจาก โครงการอัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” ประเทศศรีลังกา โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ 2 ประการ คือ
ประการแรก เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เถลิงถวัลย์ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี นับเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย
ส่วนอีกประการต่อมา คือ ปีนี้ (พ.ศ. 2562) เป็นวาระครบรอบ 266 ปี แห่งสายสัมพันธ์เถรวาทไทย-ลังกา ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา ซึ่งเป็นนิกายที่ได้รับการอุปสมบทจากคณะพระธรรมทูตนำโดยพระอุบาลีมหาเถระ จากวัดธรรมารามแห่งกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งเป็นการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในศรีลังกาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเสื่อมถอยไปด้วยอิทธิพลของชาวต่างชาติและผู้ปกครองที่นับถือศาสนาอื่น
นิกายสยามวงศ์ถือเป็นส่วนสำคัญในการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทย–ศรีลังกา มาจนถึงปัจจุบัน โดยประเทศไทยและประเทศศรีลังกามีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นสืบเนื่องกันมานานกว่า 700 ปี นับแต่แรกรับนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ในยุคกรุงสุโขทัย
ด้วยเหตุนี้มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร มูลนิธิธรรมดี และองค์กรภาคีต่าง ๆ จึงดำริจัด โครงการอัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” จากประเทศศรีลังกามาให้ประชาชนคนไทยได้กราบสักการะกันเพื่อเป็นมงคลสูงล้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
6.พิธีอัญเชิญยิ่งใหญ่ : พระบรมเกศาธาตุถูกอัญเชิญจากศรีลังกามาถึงประเทศไทย (สนามบินสุวรรณภูมิ) ในช่วงเช้า 6.15 น. ของวันที่ 15 ธ.ค. 2562 ก่อนที่จะมีการอัญเชิญด้วยรถยนต์สู่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ในเวลา 08.30
หลังจากนั้นเวลา 09.00 น. ได้มีพิธีอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุจากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ สู่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
โดยในพิธีอัญเชิญได้มีการจัดริ้วขบวนและรถบุปผชาติอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งประดับตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงและประณีตงดงาม ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ด้วยศิลปะความเป็นไทย เช่น มณฑปต่าง ๆ ที่มีความเก่าแก่ การจัดแต่งดอกไม้รอบตัวรถออกแบบให้เป็นเหมือนลายคลื่นน้ำ เปรียบเสมือนพระบรมเกศาธาตุ ที่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ยังเป็นประกาศให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงความสวยงามของศิลปะไทย ไม่ว่าจะเป็นงานดอกไม้ การจัดดอกไม้ไทยรอบริ้วขบวน รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นช้างเผือกนำขบวน ที่แกะสลักพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
พร้อมกันนี้ ทางศรีลังกายังได้มีการแสดงทางวัฒนธรรมด้วยขบวนกลอง และคณะนาฏศิลป์ เพื่อสรรเสริญพระพุทธเจ้านำขบวนรถบุปผชาติอันสวยงามด้วยเช่นกัน
7.ตำหนักเพ็ชร : สำหรับสถานที่ประดิษฐานของพระบรมเกศาธาตุในเมืองไทย คือ “พระตำหนักเพ็ชร” วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
พระตำหนักเพ็ชร เป็นตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถวายเป็นท้องพระโรงแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช 2457
พระตำหนักเพ็ชร เป็นอาคารที่มีความสวยงาม สร้างด้วยคอนกรีต มุงกระเบื้องเคลือบ ประดับสันหลังคาด้วยด้วยปูนปั้นลายกระจัง ปูพื้นด้วยหินอ่อน หน้าบันประดับด้วยลายมหามงกุฎและวัชระล้อมด้วยเครือเถา ถัดลงมาจารึกชื่อ “ตำหนักเพ็ชร”
ด้วยความโดดเด่นงดงาม ทำให้พระตำหนักเพ็ชรได้รับรางวัลการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ในปี 2539
8.บุญตา : พระบรมเกศาธาตุองค์นี้ ปกติที่ศรีลังกาจะบรรจุอยู่ภายในโกศทองคำที่ปกปิดอย่างมิดชิด คนทั่วไปจึงไม่มีโอกาสได้เห็นพระเกศาพระพุทธเจ้า แต่เมื่ออัญเชิญมาเมืองไทย ได้มีการนำพระบรมเกศาธาตุบรรจุในโกศแก้วใสบนบุษบก ทำให้สามารถมองเห็นเส้นพระเกศาได้ (ไกล ๆ) ถือเป็นบุญตาไม่น้อย
9.ครั้งหนึ่งในชีวิต : พุทธศาสนิกชนและผู้สนใจสามารถเข้ากราบสักการะพระบรมเกศาธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ทุกวันในเวลา 10.00 - 20.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2563
ทั้งนี้ผู้ที่จะเข้ากราบสักการะพระบรมเกศาธาตุต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพ สีขาว ตามธรรมเนียมปฏิบัติของศรีลังกา ผู้ชาย- เสื้อสีขาว (หรือสีครีม สีอ่อน คุมโทนอ่อนสุภาพ) กางเกงขายาว (ไม่ขาด) ผู้หญิง-ชุดสุภาพสีขาว (หรือสีครีม สีอ่อน คุมโทนอ่อนสุภาพ) มีแขนไม่รัดรูป ไม่บาง กางเกงขายาว (ไม่ขาด) หรือกระโปรง-ผ้าถุงยาว คลุมเข่าเป็นต้นไป โดยสุภาพสตรีที่มีรอบเดือนไม่อนุญาตให้เข้าเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังสามารถร่วมจองรอบเวลาเป็นเจ้าภาพถวายเครื่องสักการะบูชาตามธรรมเนียมศรีลังกาได้ที่ฝ่ายเลขานุการโครงการฯ โทร. 02-610-2366, 063-526-5359
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR
Facebook Travel Unlimited / เที่ยวถึงไหนถึงกัน
ถือเป็นเรื่องมงคลรับขวัญวันปีใหม่ กับข่าวดีที่ประเทศไทยได้อัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” จากประเทศศรีลังกา มาประดิษฐาน ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองไทยที่ได้มีการนำพระบรมเกศาธาตุ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งของพุทธศาสนา มาให้พุทธศาสนิกชนและผู้สนใจในเมืองไทยได้กราบสักการะ รับอานิสงส์ผลบุญอันแรงกล้า เสริมสิริมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน
สำหรับพระบรมเกศาธาตุที่อัญเชิญมานี้ ผมได้คัดสรร 9 เรื่องน่าสนใจ มาเป็นข้อมูลประกอบให้ผู้สนใจได้รับทราบในเบื้องต้น ก่อนที่จะเดินทางไปสักการะองค์จริง ดังนี้
1.รู้จักพระบรมเกศาธาตุ : “พระบรมเกศาธาตุ” หรือ “พระเกศาธาตุ” คือ เส้นผมพระพุทธเจ้า
พระบรมเกศาธาตุ มีความต่างจาก “พระบรมสารีริกธาตุ” ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดี ดังนี้
พระบรมสารีริกธาตุ คือ พระอัฐิของพระพุทธเจ้า ที่ได้หลังจากพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธองค์ ซึ่งหลังจากนั้นได้มีผู้นำไปเผยแผ่ตามสถานที่ต่าง ๆ
ส่วนพระบรมเกศาธาตุ คือ เส้นผมพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ประทานตอนที่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน โดยพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ได้ประทานพระบรมเกศาธาตุแก่บุคคลต่าง ๆ
ตามตำนานระบุ ว่า พระพุทธเจ้าได้ประทานพระบรมเกศาธาตุครั้งแรก (ช่วงราวคริสต์ศตวรรษที่ 6-10) ให้กับ 2 พ่อค้าชาวมอญจากพม่า คือ ตปุสสะ และภัลลิกะ จำนวน 8 เส้น
หลังจาก 2 พ่อค้าชาวมอญผู้มีความเลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธองค์ ได้มีการก่อสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งปัจจุบันก็คือ “มหาเจดีย์ชเวดากอง” อันลือลั่นแห่งเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา
สำหรับบ้านเรานั้นมีข้อมูลระบุว่า ที่พระธาตุลำปางหลวง (จ.ลำปาง) และ พระธาตุช่อแฮ (จ.แพร่) ต่างก็มีพระเกศาธาตุบรรจุอยู่ภายใน (ร่วมกับพระบรมสารีริกธาตุ) ด้วยเช่นกัน
2.สถานที่ประดิษฐานดั้งเดิม : พระบรมเกศาธาตุองค์ที่อัญเชิญจากศรีลังกามายังประเทศไทยนี้ เดิมประดิษฐานอยู่ที่ “Yatihalagaya Raja Maha Vihara” วัดโบราณอายุกว่า 700 ปีที่อยู่ในความดูแลของวัดอัสคิริยามหาวิหาร และได้รับการปกปักรักษามาหลายชั่วอายุคน
3.สถานที่ประดิษฐานปัจจุบัน : พระบรมเกศาธาตุองค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ “ศรีศากยสิงเหสุคันธกุฏิ” (Sri Shakyasinghe Sugandha Kuti) ภายใน “เนลลิกาลา อินเตอร์เนชันแนล บุดดิสต์ เซ็นเตอร์” (Nelligala International Buddhist Centre) เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา
โดยเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ได้มีการอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุองค์นี้จากวัดโบราณ มาประดิษฐานที่เนลลิกาลาฯ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวศรีลังกาเดินทางมาสักการะได้สะดวกสบายขึ้น เนื่องจากวัดโบราณตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองแคนดี้ คนเดินทางไปสักการะลำบาก
4.ครั้งแรกในเมืองไทย : พระบรมเกศาธาตุองค์นี้ไม่เคยอัญเชิญมาในประเทศไทยมาก่อน นี่จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะได้มีโอกาสเข้ากราบสักการะพระบรมเกศาธาตุ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา (และพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาพร้อมกันในครั้งนี้)
5.โครงการอัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” : การอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุจากศรีลังกามายังประเทศไทยครั้งนี้ มาจาก โครงการอัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” ประเทศศรีลังกา โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ 2 ประการ คือ
ประการแรก เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เถลิงถวัลย์ขึ้นครองสิริราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี นับเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย
ส่วนอีกประการต่อมา คือ ปีนี้ (พ.ศ. 2562) เป็นวาระครบรอบ 266 ปี แห่งสายสัมพันธ์เถรวาทไทย-ลังกา ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ในศรีลังกา ซึ่งเป็นนิกายที่ได้รับการอุปสมบทจากคณะพระธรรมทูตนำโดยพระอุบาลีมหาเถระ จากวัดธรรมารามแห่งกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งเป็นการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในศรีลังกาขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเสื่อมถอยไปด้วยอิทธิพลของชาวต่างชาติและผู้ปกครองที่นับถือศาสนาอื่น
นิกายสยามวงศ์ถือเป็นส่วนสำคัญในการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทย–ศรีลังกา มาจนถึงปัจจุบัน โดยประเทศไทยและประเทศศรีลังกามีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นสืบเนื่องกันมานานกว่า 700 ปี นับแต่แรกรับนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ในยุคกรุงสุโขทัย
ด้วยเหตุนี้มูลนิธิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร มูลนิธิธรรมดี และองค์กรภาคีต่าง ๆ จึงดำริจัด โครงการอัญเชิญ “พระบรมเกศาธาตุ” จากประเทศศรีลังกามาให้ประชาชนคนไทยได้กราบสักการะกันเพื่อเป็นมงคลสูงล้นในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
6.พิธีอัญเชิญยิ่งใหญ่ : พระบรมเกศาธาตุถูกอัญเชิญจากศรีลังกามาถึงประเทศไทย (สนามบินสุวรรณภูมิ) ในช่วงเช้า 6.15 น. ของวันที่ 15 ธ.ค. 2562 ก่อนที่จะมีการอัญเชิญด้วยรถยนต์สู่ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ในเวลา 08.30
หลังจากนั้นเวลา 09.00 น. ได้มีพิธีอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุจากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ สู่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร อย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
โดยในพิธีอัญเชิญได้มีการจัดริ้วขบวนและรถบุปผชาติอัญเชิญพระบรมเกศาธาตุ และพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งประดับตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงและประณีตงดงาม ออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ด้วยศิลปะความเป็นไทย เช่น มณฑปต่าง ๆ ที่มีความเก่าแก่ การจัดแต่งดอกไม้รอบตัวรถออกแบบให้เป็นเหมือนลายคลื่นน้ำ เปรียบเสมือนพระบรมเกศาธาตุ ที่ได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ยังเป็นประกาศให้คนทั่วโลกได้เห็นถึงความสวยงามของศิลปะไทย ไม่ว่าจะเป็นงานดอกไม้ การจัดดอกไม้ไทยรอบริ้วขบวน รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นช้างเผือกนำขบวน ที่แกะสลักพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
พร้อมกันนี้ ทางศรีลังกายังได้มีการแสดงทางวัฒนธรรมด้วยขบวนกลอง และคณะนาฏศิลป์ เพื่อสรรเสริญพระพุทธเจ้านำขบวนรถบุปผชาติอันสวยงามด้วยเช่นกัน
7.ตำหนักเพ็ชร : สำหรับสถานที่ประดิษฐานของพระบรมเกศาธาตุในเมืองไทย คือ “พระตำหนักเพ็ชร” วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
พระตำหนักเพ็ชร เป็นตำหนักที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างถวายเป็นท้องพระโรงแด่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีพุทธศักราช 2457
พระตำหนักเพ็ชร เป็นอาคารที่มีความสวยงาม สร้างด้วยคอนกรีต มุงกระเบื้องเคลือบ ประดับสันหลังคาด้วยด้วยปูนปั้นลายกระจัง ปูพื้นด้วยหินอ่อน หน้าบันประดับด้วยลายมหามงกุฎและวัชระล้อมด้วยเครือเถา ถัดลงมาจารึกชื่อ “ตำหนักเพ็ชร”
ด้วยความโดดเด่นงดงาม ทำให้พระตำหนักเพ็ชรได้รับรางวัลการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ในปี 2539
8.บุญตา : พระบรมเกศาธาตุองค์นี้ ปกติที่ศรีลังกาจะบรรจุอยู่ภายในโกศทองคำที่ปกปิดอย่างมิดชิด คนทั่วไปจึงไม่มีโอกาสได้เห็นพระเกศาพระพุทธเจ้า แต่เมื่ออัญเชิญมาเมืองไทย ได้มีการนำพระบรมเกศาธาตุบรรจุในโกศแก้วใสบนบุษบก ทำให้สามารถมองเห็นเส้นพระเกศาได้ (ไกล ๆ) ถือเป็นบุญตาไม่น้อย
9.ครั้งหนึ่งในชีวิต : พุทธศาสนิกชนและผู้สนใจสามารถเข้ากราบสักการะพระบรมเกศาธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ ณ พระตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ทุกวันในเวลา 10.00 - 20.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2563
ทั้งนี้ผู้ที่จะเข้ากราบสักการะพระบรมเกศาธาตุต้องแต่งกายด้วยชุดสุภาพ สีขาว ตามธรรมเนียมปฏิบัติของศรีลังกา ผู้ชาย- เสื้อสีขาว (หรือสีครีม สีอ่อน คุมโทนอ่อนสุภาพ) กางเกงขายาว (ไม่ขาด) ผู้หญิง-ชุดสุภาพสีขาว (หรือสีครีม สีอ่อน คุมโทนอ่อนสุภาพ) มีแขนไม่รัดรูป ไม่บาง กางเกงขายาว (ไม่ขาด) หรือกระโปรง-ผ้าถุงยาว คลุมเข่าเป็นต้นไป โดยสุภาพสตรีที่มีรอบเดือนไม่อนุญาตให้เข้าเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังสามารถร่วมจองรอบเวลาเป็นเจ้าภาพถวายเครื่องสักการะบูชาตามธรรมเนียมศรีลังกาได้ที่ฝ่ายเลขานุการโครงการฯ โทร. 02-610-2366, 063-526-5359
....................................................................................................
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Travel @ Manager
ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Travel MGR