“แม่น้ำแยงซีเกียง” ชื่อนี้เคยได้ยินมานานตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กนักเรียน วิชาภูมิศาสตร์ทำให้เราทราบว่า “แม่น้ำแยงซี” หรือที่คนไทยคุ้นเคยกับชื่อ “แยงซีเกียง” นั้นเป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของเอเชีย และยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก คือมีความยาวถึงราว 6,300 กม. มีต้นกำเนิดจากธารน้ำแข็งบนเทือกเขาในมณฑลชิงไห่และทิเบต ก่อนจะไหลคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามแนวตะวันออก-ตะวันตก ออกสู่ทะเลจีนตะวันออกผ่านทางมหานครเซี่ยงไฮ้
“ตะลอนเที่ยว” จึงตื่นเต้นมากเมื่อทางบริษัทฉงชิ่ง นิว เซ็นจูรี่ ครุยส์ (Chongqing New Century Cruises) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือสำราญชั้นนำล่องเรือเที่ยวแม่น้ำแยงซีเกียง พร้อมกับบริษัทวีคเอนด์ ทัวร์ และสายการบินแอร์เอเชีย ได้ร่วมกันจัด Corporate Fam Trip พา “ตะลอนเที่ยว” และบริษัทชั้นนำต่างๆ ในไทยมาร่วมทริปล่องเรือสำราญระดับ 5 ดาว ชมความอลังการของแม่น้ำแยงซีเกียง และท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ที่น่าสนใจระหว่างทาง อีกทั้งยังจะได้สัมผัสกับ “เขื่อนสามผา” เขื่อนยักษ์ที่ใหญ่สุดในโลกกลางแม่น้ำแยงซีเกียงอย่างใกล้ชิดอีกด้วย!
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นเมื่อสายการบินแอร์เอเชียพาเราบินลัดฟ้าแบบนิ่มๆ จากสนามบินดอนเมืองมายังเมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย และนั่งรถโค้ชต่ออีกราว 4 ชม. เพื่อเดินทางมายังเมืองอี๋ชางในมณฑลเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดที่เราจะลงเรือ “Century Paragon” เรือสำราญระดับ 5 ดาว ล่องจากเมืองอี๋ชาง แล่นทวนน้ำมายังทิศตะวันตกสู่มหานครฉงชิ่ง โดยเราจะใช้เวลา 5 วัน 4 คืน ในการท่องเที่ยวและพักผ่อนบนเรือสำราญ ดังนั้น “ตะลอนเที่ยว” จึงจะขอพาไปสำรวจเรือลำนี้ก่อนเราจะออกเดินทางล่องแม่น้ำกัน
สำหรับเรือสำราญของ Century Cruises นั้น มีอยู่ทั้งหมด 7 ลำด้วยกัน แต่ Century Paragon ที่เราจะโดยสารไปนั้นเป็นลำที่ใหม่และหรูหราที่สุด และยังใช้เทคนิคที่ทันสมัย คือเป็นระบบไฮบริดที่ใช้เครื่องดีเซลร่วมกับระบบไฟฟ้า ซึ่งเรือที่ใช้เทคนิคทันสมัยแบบนี้มีอยู่ 4 ลำเท่านั้นในจีน เรือมีความยาว 141.8 ม. ภายในมีทั้งหมด 7 ชั้น จุคนได้ราว 400 คน ภายในเรือมีห้องพักให้เลือกทั้งแบบ Presidential suite ห้องแบบ Executive Suite ห้องแบบ Junior suite และห้องแบบ Deluxe cabin ภายในห้องพักตกแต่งเหมือนอยู่ในโรงแรมห้าดาว มีระเบียงสำหรับชมวิวทุกห้อง พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
นอกจากนั้นแล้ว บนเรือยังมีมุมต่างๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจสมชื่อเรือสำราญ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สปา ห้องออกกำลังกาย ร้านเสริมสวย โรงภาพยนตร์ที่จุได้ 150 คน มีร้านค้าขายของที่ระลึก มีห้องอาหารให้บริการตลอดทั้งสามมื้อ มีบาร์ให้นั่งดื่มสังสรรค์กันตลอดคืน และยังมีบริเวณชั้นดาดฟ้าและหัวเรือที่ให้ทุกคนสามารถขึ้นไปชมวิวแม่น้ำและภูเขา รวมถึงมีเก้าอี้อาบแดด และมุมให้นั่งพักผ่อนพูดคุยกันในระหว่างการเดินทางอีกด้วย เรียกว่าพร้อมสรรพระดับ 5 ดาวจริงๆ
เราเดินทางมายังท่าเรือเพื่อลงเรือสำราญ Century Paragon ในช่วงค่ำแล้ว ในคืนนี้นอกจากการรับฟังรับทราบเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยหากเกิดเหตุฉุกเฉินที่พนักงานมาสาธิตการใส่เสื้อชูชีพและเส้นทางอพยพฉุกเฉินต่างๆ แล้ว ก็ไม่มีกิจกรรมอื่นใดนอกจากพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมกับการท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้
หลังจากคืนแรกในเรือสำราญผ่านไป “ตะลอนเที่ยว” ตื่นเช้ามาพร้อมกับความรู้สึกว่าเรือกำลังแล่นไปอย่างเงียบๆ กลางลำน้ำแยงซีเกียง เมื่อเปิดประตูระเบียงออกมาชมวิวก็มองเห็นสองข้างทางเป็นภูเขาสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยหมอกในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงอย่างน่าตื่นตา โดยในเส้นทางช่วงแรกนี้เราจะแล่นผ่าน “ช่องแคบซีหลิงเสีย” ซึ่งเป็นช่องแคบที่ยาวที่สุดในแม่น้ำแยงซีเกียง คือมีความยาว 76 กม. แต่มองยังไง้...ยังไงก็ไม่แคบ เพราะแม่น้ำแยงซีเกียงนั้นช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกิน อีกอย่างหนึ่งก็คือหลังจากการสร้างเขื่อนสามผา ระดับน้ำสูงขึ้นจนทำให้ดูกว้างขึ้นกว่าเดิม
หลังจากกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารต่างเตรียมตัวลงจากเรือตามไกด์ของแต่ละกลุ่มไป ไกด์ของ "ตะลอนเที่ยว" เป็นสาวแว่นหน้าตาน่ารักชื่อ "น้องสา" ซึ่งจะเป็นผู้พาเราไปเที่ยวในทุกๆ ที่ตลอดทั้งทริป สำหรับที่แรก เราไปเดินเที่ยวชม “หมู่บ้านซานเสียเหรินเจีย” เป็นหมู่บ้านของชาวถู่เจีย ชนกลุ่มน้อยของจีนที่อาศัยอยู่บนภูเขาริมแม่น้ำแยงซีเกียง อีกทั้งบริเวณใกล้กันยังมีลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกมังกรเหลืองซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน ทำให้มีสภาพพื้นที่เป็นป่าที่ร่มรื่นชุ่มชื้นตลอดทั้งปี
เราเดินชมบรรยากาศของหมู่บ้านซานเสียเหรินเจียที่จำลองขึ้นจากของเดิม เนื่องจากปัจจุบันชนกลุ่มน้อยดังกล่าวได้ย้ายออกไปจากพื้นที่บริเวณนี้แล้ว แต่รัฐบาลยังได้รักษาและจำลองบรรยากาศไว้เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป ระหว่างเส้นทางการเดินชมริมลำธารนั้น ก็จะมีชาวถู่เจียที่สวมชุดประจำเผ่ามานั่งร้องเพลง เล่นดนตรี สร้างสีสันบรรยากาศให้การท่องเที่ยวได้มาก และไฮไลต์ที่ภายในหมู่บ้านที่เราได้มาชมกันวันนี้ก็คือการจำลองบรรยากาศการแต่งงานของหนุ่มสาวชาวถู่เจียให้นักท่องเที่ยวได้ชม ในการแต่งงานนี้ญาติของเจ้าสาวจะต้องร่ำไห้เพื่อแสดงความอาลัยที่เจ้าสาวจะต้องจากบ้านไปอยู่กับคู่ครอง การแสดงชุดนี้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ชมได้มาก เพราะตัวแสดงเป็นเจ้าบ่าวก็คือนักท่องเที่ยวในกรุ๊ปของเรานี่เอง
ท่องเที่ยวในช่วงเช้าแบบเบาๆ เสร็จแล้ว เรากลับขึ้นมากินข้าวกลางวันและพักผ่อนกันบนเรือครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลงเรือต่อรถไปชมแหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์กันในช่วงบ่าย นั่นก็คือ “เขื่อนสามผา” หรือ “เขื่อนซานเสียต้าป้า” หรือ “Three Gorges Dam” เขื่อนอเนกประสงค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างกั้นแม่น้ำแยงซีเกียงในเขตเมืองอี๋ชาง ซึ่งเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศเป็นชั้นหินแข็ง รับน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ได้มาก
สำหรับชื่อของเขื่อนสามผานั้น แท้จริงหมายถึงสามช่องแคบ (Gorge) อันได้แก่ ช่องแคบซีหลิงเสีย (ที่ผ่านมาแล้วเมื่อตอนเช้า) ช่องแคบอูเสีย และช่องแคบฉวีถังเสีย ซึ่งช่องแคบที่ 2 และ 3 เราจะได้ผ่านกันในวันที่สามของการเดินทาง
เราเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์เขื่อนสามผาที่มีแบบจำลองของเขื่อน บอกเล่าเรื่องราวของเขื่อนขนาดยักษ์แห่งนี้ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในราว ค.ศ.1993 โดยมีจุดประสงค์หลักในการป้องกันน้ำท่วมและเพื่อผลิตกระแสไฟเพื่อส่งไฟฟ้าให้พื้นที่ต่างๆ 1 ใน 5 ของประเทศจีน ขนาดที่ใหญ่ยักษ์และปริมาณน้ำเหนือเขื่อนทำให้หมู่บ้านและชุมชนริมแม่น้ำ โดยเฉพาะในมหานครฉงชิ่งและมณฑลหูเป่ยต้องอพยพผู้คนรวมหลายล้านคน นับว่ามหาศาลและสร้างผลกระทบในวงกว้าง รัฐบาลจีนต้องสร้างหมู่บ้านให้ประชาชนที่อพยพขึ้นใหม่ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตกันใหม่หมด
หลังจากฟังไกด์บรรยายและชมภายในพิพิธภัณฑ์แล้ว เราเดินขึ้นบันไดเลื่อนหลายชั้นไปยังจุดชมวิวสูงสุดของเขื่อนที่มองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา มองเห็นประตูระบายน้ำขนาดใหญ่ เห็นอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนกว้างไกล ส่วนอีกด้านหนึ่งจะเป็นประตูน้ำที่ให้เรือขนส่งสินค้าและเรือท่องเที่ยวต่างๆ ผ่านเข้าออกกัน
ทีแรกเมื่อ “ตะลอนเที่ยว” ทราบว่าเราเรือของเราจะแล่นทวนน้ำจากเมืองอี๋ชางซึ่งอยู่ใต้เขื่อน ไปยังเมืองฉงชิ่งซึ่งอยู่เหนือเขื่อน ก็ยังมืดแปดด้านนึกไม่ออกว่าเรือลำมโหฬารแบบนี้จะแล่นเหาะผ่านประตูระบายน้ำที่มีระดับความสูงต่างกันนับร้อยเมตรขึ้นไปได้อย่างไร จนเมื่อได้มาฟังไกด์อธิบายจึงเข้าใจ และนึกทึ่งในความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติให้จงได้
โดยวิศวกรชาวจีนได้คิดวิธีให้เรือขนส่งสินค้าและเรือเพื่อการท่องเที่ยวที่วิ่งกันอย่างแพร่หลายในแม่น้ำแยงซีเกียงผ่านประตูน้ำไปได้โดยการทำประตูน้ำ 5 ชั้นให้เป็นบันได 5 ขั้น เมื่อเรือเข้ามาภายในประตูน้ำชั้นที่ 1 ประตูจะปิดลงขังเรือไว้ภายในห้อง จากนั้นระบบจะปรับระดับน้ำภายในประตูชั้นที่ 1 ให้เท่ากับระดับน้ำในประตูน้ำชั้นที่ 2 จากนั้นจึงเปิดประตูให้เรือผ่านเข้าไปทีละชั้นๆ จนถึงประตูสุดท้าย ก็จะปรับระดับน้ำให้เท่ากับในอ่างเก็บน้ำ แล้วเรือก็จะแล่นออกไปสู่อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนได้ในที่สุด ส่วนเรือที่จะแล่นจากเหนือเขื่อนไปใต้เขื่อนก็จะผ่านประตูน้ำ 5 ชั้นอีกช่องหนึ่ง ค่อยๆ ปรับระดับน้ำให้ลดลงทีละขั้นๆ จนระดับน้ำในประตูน้ำชั้นสุดท้ายเท่ากับระดับน้ำใต้เขื่อนเช่นกัน
ขนาดฟังไกด์เล่ายังรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งทราบว่าในคืนนี้ เรือ Century Paragon ของเราก็จะได้ผ่านประตูน้ำ 5 ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน และนักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นมาชมการเปิดปิดประตูน้ำแต่ละชั้นบนดาดฟ้าของเรือได้อย่างใกล้ชิดก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก เมื่อถึงเวลา “ตะลอนเที่ยว” ขึ้นมาจับจองที่นั่งหัวเรือ เฝ้ามองประตูน้ำขนาดใหญ่ค่อยๆ เปิดออก เรือสินค้าและเรือสำราญรวม 3 ลำ ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ภายในประตู ก่อนที่ระดับน้ำจะถูกปรับจนเรือลอยสูงขึ้นๆ จนพร้อมจะแล่นไปสู่ประตูน้ำชั้นถัดไป ใช้เวลาราว 2 ชม.ก็จะผ่านประตูน้ำทั้ง 5 ชั้นที่มีความยาว 16 กม. ยิ่งดูก็ยิ่งทึ่งในความสามารถของมนุษย์ที่พยายามทุกวิถีทางที่จะใช้ชีวิตในธรรมชาติโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
ในวันที่สามของการล่องเรือ เช้าวันนี้เราแล่นผ่าน "ช่องแคบอูเสีย" ซึ่งเป็นช่องแคบที่ 2 ที่จะได้ผ่าน ช่องแคบอูเสียมีความใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาช่องแคบในแม่น้ำแยงซีเกียง บริเวณนี้มีทิวทัศน์ของภูเขาที่งดงามยิ่งนัก แนวหน้าผามีลักษณะเหมือนหินวางเรียงซ้อนกันอย่างสวยงาม
เช้าวันนี้เรามีโปรแกรมลงเรือเล็กเพื่อล่องไปชมความงามของแม่น้ำเซินหนิ่วซี แม่น้ำสาขาของแยงซีเกียงที่มีต้นกำเนิดอยู่ในเขตกวนตู้ความยาวกว่า 30 กม. แม่น้ำสายนี้สองฟากฝั่งถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาสูง สูงแบบต้องแหงนมองคอตั้งบ่า แต่สวยงามยิ่งนัก แต่เดิมก่อนมีการสร้างเขื่อนเราไม่สามารถลงเรือล่องเข้ามาชมธรรมชาติได้แบบนี้ เพราะแม่น้ำมีความแคบมากและลึกเพียง 1-2 ม. แต่ภายหลังสร้างเขื่อนแม่น้ำมีความลึกถึง 70-100 ม. เลยทีเดียว
ทัศนียภาพสองฟากฝั่งงดงามมากๆ ลมก็พัดผ่านเย็นสบาย มองเห็นภูผาอย่างใกล้ชิด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เรือก็จอดแวะให้นักท่องเที่ยวลงมายืดแข้งยืดขาและชมการแสดงร้องเพลงจากชาวท้องถิ่นที่มาเป็นไกด์บนเรือแต่ละลำด้วย
ช่วงสายๆ เรากลับขึ้นเรือมาอีกครั้ง เรือติดเครื่องยนต์และแล่นออกสู่กลางแม่น้ำ จากนั้นเรือแล่นผ่านช่องแคบที่ 3 คือ "ช่องแคบฉวีถังเสีย" “ตะลอนเที่ยว” แน่นอนว่าจากสายตาที่มองเห็นก็ยังคงเป็นช่องแคบที่กว้างเช่นเดิม และมีความสวยงามน่ามหัศจรรย์ของภูผารอบด้าน โดยช่องแคบฉวีถังเสียนี้มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์จนได้ขึ้นไปเป็นภาพบนธนบัตร 10 หยวนอีกด้วย
จากนั้นในตอนบ่าย เรือจอดให้เราไปเที่ยวชมเมืองไป่ตี้เฉิง หรือเมืองจักรพรรดิขาว อยู่ในอำเภอเฟิ่งเจีย ของมณฑลเสฉวน เมืองไป๋ตี้เฉิงเป็นเมืองโบราณสร้างในสมัยราชวงศ์ฮั่น โดยขุนนางชื่อกงซุนซู่ได้ยึดแคว้นสู่ (มณฑลเสฉวน) แล้วสร้างเมืองบนภูเขา วันหนึ่งกงซุนซู่เห็นหมอกสีขาวมีรูปร่างเหมือนมังกร จึงแต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ เมืองนี้จึงเรียกต่อมาว่าไป่ตี้เฉิง (ไป่ = ขาว ตี้ = กษัตริย์ เฉิง = เมือง)
เมืองไป๋ตี้มีความเกี่ยวพันกับเรื่องสามก๊กและเล่าปี่ไม่น้อย เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่เล่าปี่หนีมาลี้ภัยจากการสู้รบเพื่อล้างแค้นให้กวนอู แต่ภายหลังถูกลอบวางเพลิงค่ายทหาร ทำให้ต้องลี้ภัยมาที่นี่ และภายหลังได้ป่วยหนักจนเสียชีวิตที่เมืองนี้อีกด้วย
ที่นี่เราได้พบกับรูปปั้นของ “ขงเบ้ง” ซึ่งถือเป็นยอดกุนซือของเล่าปี่ เป็นนักปราญช์มากความสามารถทั้งในด้านวิชาการ การเมือง การทูต นักปราชญ์ วิศวกร จากนั้นเราเดินขึ้นบันไดสามร้อยขั้นไปด้านบนเขาเพื่อไปชมศาลสามก๊กที่อยู่ด้านบน โดยในศาฃมีรูปปั้นของเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย และขงเบ้ง อยู่ในห้องเดียวกัน ส่วนอีกห้องหนึ่งมีศาลขงเบ้งที่มีรูปปั้นของขงเบ้งและลูกหลานอีกด้วย นอกจากนั้น ด้านบนนี้ยังมีศาลาเก๋งจีนเก่าแก่ที่เป็นหอดูดาว สวนแบบจีน และมีพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ต่างๆ อีกด้วย
มาถึงวันสุดท้ายบนเรือ Century Paragon กันแล้ว เช้าวันที่ 4 นี้เราตื่นมากินข้าวเช้า เตรียมแรงเพื่อขึ้นฝั่งไปเที่ยวชมความงามของ "เจดีย์ไม้สือเป่าไจ้" ขนาบกับเขาหวี้อิ้นทางทิศเหนือของแม่น้ำแยงซีเกียง เจดีย์องค์นี้สร้างอยู่บนเขา เป็นเจดีย์ 12 ชั้น ที่น่าทึ่งก็คือเจดีย์องค์นี้ทำจากไม้และสร้างเชื่อมต่อกันโดยไม่ใช้ตะปูเลย นับว่าเป็นวิศวกรรมที่น่าทึ่งมาก
ด้านบนภูเขาเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในสมัยราชวงศ์หมิง ต่อมามีการสร้างเจดีย์ไม้เพิ่มเติมในสมัยราชวงศ์ชิง เจดีย์นี้ถือเป็นทางเดินบันไดขึ้นสู่ตัววัด แต่ก่อนเจดีย์มี 9 ชั้น ต่อมาได้สร้างเพิ่มขึ้นอีกเป็น12 ชั้น โดยทางขึ้นนั้นจะชันมากๆ อีกทั้งนักท่องเที่ยวก็เยอะมากๆ ด้วยเช่นกัน ต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อขึ้นไปแล้วก็จะได้สักการะเง็กเซียนฮ่องเต้ ท้าวจตุโลกบาล และเทพเจ้ากวนอูอีกด้วย
หลังจากได้ขึ้นไปชมเจดีย์สือเป่าไจ้แล้ว ช่วงเที่ยงเรากลับมากินข้าวกลางวันและพักผ่อนที่เรือ Century Paragon จากนั้นใช้เวลาตลอดบ่ายอยู่ตามมุมต่างๆ บนเรือ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้พัก-กิน-นอนกันบนเรือ “ตะลอนเที่ยว” จึงขอเก็บภาพความทรงจำในมุมต่างๆ บนเรือสำราญไว้ให้ได้มากที่สุด
ไม่น่าเชื่อว่าเรือสำราญจะให้บรรยากาศความอบอุ่นราวกับอยู่ที่บ้านได้เช่นนี้ ในแต่ละวันไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เหน็ดเหนื่อยอย่างไร เมื่อกลับมาถึงเรือก็จะรู้สึกถึงความอุ่นใจเหมือน พนักงานรอต้อนรับเรากลับมา มีผ้าอุ่นๆ และน้ำชาหอมๆ เตรียมไว้ให้ ห้องหับผ้าปูที่นอนก็ถูกจัดเตรียมให้เรียบร้อยทุกวัน เรียกได้ว่า 5 วัน 4 คืนนี้เป็นความสำราญสมชื่อจริงๆ
ในเช้าวันที่ 5 เราโบกมือลาเรือสำราญ Century Paragon ขึ้นฝั่งนครฉงชิ่งด้วยความอาลัย แต่ก็ไม่นานนัก เพราะเสน่ห์เมืองฉงชิ่งก็ทำให้เราตื่นตาตื่นใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน แม้จะมีเวลาเพียงครึ่งวันที่ฉงชิ่ง แต่เราก็ได้ทราบถึงฉายาของเมืองฉงชิ่งที่มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมืองแห่งภูเขา เมืองในหมอก เมืองเตาไฟ เมืองแห่งสะพาน เมืองสาวงาม ฯลฯ แสดงถึงความโดดเด่นในหลายๆ ด้าน
ที่ฉงชิ่งเราได้มาเยือน “หงหยาต้ง” คอมเพล็กซ์ในรูปทรงอาคารโบราณขนาดใหญ่ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายสินค้าที่ระลึก ฯลฯ ที่นี่ย่ามค่ำคืนถือเป็นจุดนัดพบพักผ่อนของชาวเมือง และจุดชมวิวชั้นดี อีกทั้งยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญของนักท่องเที่ยวอีกด้วย นอกจากนั้นเรายังได้ไปช้อปปิ้งกันที่ถนนคนเดิน “เจี่ยฟังเป่ย” ที่คล้ายๆ แยกราชประสงค์บ้านเราที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ มีทั้งของที่ระลึก สินค้าแบรนด์เนม และของกินสารพัดอย่าง
ก่อนจะไปปิดท้ายเส้นทางท่องเที่ยวทริปนี้กันที่ “ศาลาประชาคม” ซึ่งออกแบบโดยการจำลองแบบมาจากหอฟ้าเทียนถานที่เมืองปักกิ่ง ใช้เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและยังสามารถใช้เป็นโรงละครสำหรับประชาชน มีความจุได้มากกว่า 4,000 คน ส่วนฝั่งตรงข้ามศาลาประชาคมก็ยังเป็นพิพิธภัณฑ์เมืองฉงชิ่ง ที่นอกจากจะมีเรื่องราวของมหานครฉงชิ่งแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวของเขื่อนสามผา และโบราณวัตถุล้ำค่าที่ต้องขนย้ายมาก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อนก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ด้วย
มาทริปนี้ได้กำไรชีวิตหลายอย่าง ได้นั่งเรือสำราญกลางแม่น้ำสายสำคัญ ได้ยลความอลังการของธรรมชาติ และความก้าวหน้าของมนุษยชาติผ่านเขื่อนสามผา อีกทั้งยังได้ท่องเที่ยวในสถานที่สำคัญต่างๆ ตลอดเส้นทางจากเมืองอี๋ชางมายังฉงชิ่ง นับเป็นความประทับใจที่ “ตะลอนเที่ยว” จะไม่ลืมไปอีกนาน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ผู้ที่สนใจเส้นทางท่องเที่ยวล่องเรือสำราญในแม่น้ำแยงซีเกียงกับ Century Cruises สามารถติดต่อได้ที่บริษัทวีคเอนด์ ทัวร์ สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0 2712 0080-9 หรือ www.weekend.co.th, www.iloveweekend.com และสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการบินไปยังเมืองอู่ฮั่นหรือฉงชิ่งได้ที่ สายการบินแอร์เอเชีย โทร.0 2515 9999 หรือ www.airasia.com
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com