>>สาวสวยตระกูลดัง “ฝน-ณวิภา (มัสยวาณิช) เอี่ยมอมรพันธ์” เธอเป็นหญิงสาวผู้กุมหัวใจ (อดีต) คาสโนว่าของแวดวงสังคมเมืองไทย “มาร์ค-ธนพ เอี่ยมอมรพันธ์” ทายาทนักธุรกิจจิวเวลรี ซึ่งวันนี้เราอาจไม่ค่อยเจอหน้าทั้งคู่ตามงามสังคมเท่าไหร่นัก เพราะอาชีพของทั้งสองคนในวันนี้คือ คุณพ่อและคุณแม่ฟูลไทม์ แต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องของงานธุรกิจด้านจิวเวลรี
แม้จะประกาศตัวว่าทุกวันนี้งานหลักของ “ฝน-ณวิภา” นั้นคืออาชีพคุณแม่เต็มตัว แต่เรื่องของความสวยงามของเธอ ก็ยังดูสดใส งามสะพรั่งราวสมัยสาวๆ เหตุที่ความสดใสยังคงอยู่กับเธอนั้นเพราะวิธีการจัดสรรเวลาให้ลงตัวทั้งเรื่องการดูแลลูก การดูแลตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเรี่ยวแรงหลักในการช่วยงานธุรกิจของสามีอีกด้วย
“อาชีพปกติคือคุณแม่ฟูลไทม์ แล้วเราก็ทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ มีอยู่ 3 อย่างคือ อย่างแรกเราทำจิวเวลรี ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากธุรกิจเดิมของครอบครัวสามี แม้ว่าวันนี้แฟรงก์จิวเวลรีจะไม่มีแล้ว แต่เราก็ยังทำงานด้านจิวเวลรีอยู่ในชื่อบริษัท M&F ที่เราปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เนื่องจากตอนนี้เรามีครอบครัว เวลาอาจมีไม่มาก แต่เราก็ยังมีลูกค้าเก่า และลูกค้าวีไอพีที่ยังสนใจจิวเวลรีของเราอยู่
อย่างที่สองคือเราร่วมทุนกับน้องสาวและน้องเขยของคุณมาร์ค ไปลงทุนในเหมืองเพชรที่เมืองแลมพานี แอฟริกาใต้ ชื่อบริษัท Paragondiamonds มีน้องเขยเป็นประธานกรรมการ ซึ่งเราได้สัมปทานมาโดยมีรัฐบาลของประเทศเลโซโทรเป็นหุ้นส่วนอยู่ 20% และอีกเหมืองอยู่ที่มอนเทยี ประเทศเลโซโทร เราทำหน้าที่จัดการขาย ต่างไปจากเดิมคือเมื่อก่อนการทำธุรกิจจิวเวลรีของเราต้องมีหน้าร้าน มีลูกค้า แต่เดี๋ยวนี้เราขายอย่างเดียว เพชรที่เราขุดได้จากเหมืองนี้ก็มีบริษัทรับซื้อ ไปเจียระไนซึ่งเราขายเป็นเม็ดใหญ่ ส่วนเม็ดเล็กๆ เราก็ขายพ่อค้า”
นอกจากในส่วนของธุรกิจด้านจิวเวลรีแล้ว จู่ๆ ครอบครัวเอี่ยมอมรพันธ์ก็เปลี่ยนแนว โดยล่าสุดกำลังจะหันไปจับธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารจากประเทศสเปน
“ล่าสุด เรากำลังเตรียมเปิดบริษัทนำเข้าอาหาร ชื่อบริษัท เอสเปเซีย (Espasia) นำเข้าจากประเทศสเปน เริ่มจากสุดยอดแฮม เป็นแฮมที่ทำการหมักไว้ 4 ปี ก่อนที่จะนำออกขาย ถือได้ว่าเป็นแฮมที่รสชาติดี เราได้ร่วมหุ้นกับบริษัท Marcial Castro อยู่ที่สเปน ซึ่งเขามีประสบการณ์ในการทำตรงนี้มาเป็น 100 ปีแล้ว ที่ย้ายจากธุรกิจเพชรมาเพิ่มเติมธุรกิจอาหาร มีเหตุผลง่ายๆ คือ น้องเกรซ (ลูกสาวคนที่ 2) ชอบกินแฮมมาก ซึ่งตอนนั้นเพื่อนชาวสเปนส่งแฮมที่ดีที่สุดมาให้ทาน ปรากฏว่าทุกคนชอบก็เลยตัดสินใจติดต่อขอเป็นตัวแทนเองเลย (หัวเราะ)”
แค่ต้องช่วยเหลือดูแลธุรกิจทั้งสามบริษัทของสามีก็ดูเป็นงานที่หนักหนาพอสมควร ยิ่งต้องทำหน้าที่ “แม่” คอยดูแลลูกๆ อีกอาจจะดูเป็นงานที่ยาก แต่สำหรับคุณฝน ตอนนี้เธอเริ่มจัดสรรทุกอย่างได้ลงตัวแล้ว
“ด้วยความที่เป็นธุรกิจของตัวเอง เราสามารถจัดการเวลาเองได้ การทำงานทุกอย่างอาจใช้เวลา 24 ชั่วโมง แต่ว่าไม่ได้ทุกวัน บางวันเราอาจโทรศัพท์หาลูกค้า หรือเข้าไปดูโรงงานผลิตจิวเวลรี ซึ่งเรามีช่างของเราอยู่แล้ว ส่วนบริษัทอื่นๆ ก็ใช้เวลาช่วงกลางคืนดีลงานกับต่างประเทศ ฝนเป็นคนจัดการดีลเรื่องเอกสารต่างๆ แต่ตอนนี้ชีวิตเริ่มลงตัวขึ้นเพราะว่าลูกไปโรงเรียนหมดแล้ว ตอนเช้าไปส่งลูกเสร็จ เราก็ยังมีเวลาไปวิ่งที่โปโลคลับ กลับมาสัก 10 โมงก็มานั่งทำงานดูเอกสารแต่ละบริษัท มีบ้างที่ออกไปติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ แต่เราก็ยังมีเวลาเป็นของตัวเอง”
อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้บทบาทของการเป็นแม่ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของเธอ เพราะเธอบอกกับเราว่าในเรื่องของธุรกิจนั้นไม่มีอะไรที่ซับซ้อน เพียงแค่ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ซื้อเข้า-ขายออก ไม่มีอะไรที่ต้องคิดลึกซึ้งเท่ากับการเลี้ยงลูกที่อาจต้องใช้จิตวิทยาเพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
“ที่ผ่านมาเราเลี้ยงลูกกันเอง เคยมีพี่เลี้ยงอยู่ช่วยระยะนึงเท่านั้น ฉะนั้น เราจึงใกล้ชิดลูกมาก ยิ่งลูกโต เรายิ่งต้องใช้จิตวิทยาสูงขึ้นในเรื่องการอบรม พยายามเป็นแม่ที่ไม่ดุเพราะคุณพ่อค่อนข้างจะเข้มงวดกับลูกๆ อยู่แล้ว แต่ก็ต้องจริงจังให้เขาเป็นคนมีวินัย รู้หน้าที่ของตัวเอง”
ด้วยความที่เป็นคุณแม่ฟูลไทม์ การไปใช้เวลาสำหรับดูแลตัวเองเรื่องบิวตี้นั้นอาจจะยังไม่พร้อมสักเท่าไหร่ แต่ในเรื่องของการผ่อนคลายนั้นดูจะเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเธออยู่แล้ว
“เป็นคนชอบออกกำลังกาย และชอบอยู่กับลูกเพราะการอยู่กับลูกก็ผ่อนคลายนะ มีสนุกบ้าง ดุบ้าง แต่เด็กก็คือเด็ก แต่เราก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเองด้วย ส่วนเรื่องการดูแลตัวเองแบบไปนวดไปสปานั้น อยากไปมากแต่คงต้องเป็นเวลาที่ลูกโตแล้ว อย่างมากก็พอจะมีเวลาได้แค่ไปทำเล็บ เชื่อหรือไม่ว่าเข้าร้านทำผม 8 เดือนครั้งนึง เข้าไปก็ตัดดัดอะไรให้เสร็จสรรพ แล้วอีก 8 เดือนค่อยเข้าไปใหม่ (หัวเราะ) เพราะวันหนึ่งกว่าเราจะทำอะไรหลายๆ อย่างเสร็จ ทั้งออกกำลังกาย ทั้งทำงาน แล้วก็ใกล้เวลาลูกเลิกเรียนแล้ว ซึ่งเราไปรับไปส่งเองทุกวัน”
ส่วนเรื่องสไตล์ของคุณแม่ฟูลไทม์คนนี้นั้น เธอขอเป็นคุณแม่สไตล์เรียบๆ เน้นเรื่องของความคล่องตัวสะดวกสบาย แต่ว่าให้ความสำคัญกับแอกเซสซอรีมากกว่า
“เราเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ หลักๆ คือสีพื้นธรรมดา เบส ขาว ครีม เทา จะไม่ค่อยเป็นสีฉูดฉาด แต่เน้นเรื่องเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้ามากกว่า เพราะเสื้อผ้าถ้าเราซื้อตามแฟชั่น เวลาเอาต์แล้วก็เสียดาย ชุดที่ซื้อใส่ต้องเป็นชุดที่ใส่ได้นาน เก็บไว้นานขนาดไหนเมื่อหยิบมาใส่ก็ไม่เชย
เราชอบกระเป๋ากับเครื่องประดับ เครื่องเพชร เราลงทุนกับ 2 อย่างนี้ แต่เสื้อผ้าเราง่ายๆ ถ้าถูกใจก็จะใส่ซ้ำๆ เดิมๆ ฉะนั้นเราจะเลือกของที่มีคุณภาพ แบรนด์กระเป๋าที่ซื้ออยู่ประจำก็ Bottega Veneta เพราะรู้สึกว่าใส่ของได้จุ และทนทาน นอกจากนั้นก็เป็นพวก Prada, Dior, Chanel ที่เอาไว้ถือไปงาน นอกจากนี้ก็จะชอบซื้อนาฬิกา แต่ที่ใส่อยู่ประจำก็คือ Rolex, Franck Muller”
แม้จะไม่ได้เป็นคุณแม่ที่ฉูดฉาด แฟชั่นนิสต้าเท่าไหร่นัก แต่ทุกอย่างที่คุณแม่เลือกมานั้นจะต้องเป็นของที่มีคุณภาพชนิดที่ว่ายอมลงทุนราคาสูงสักนิดครั้งเดียวแต่สามารถใช้ได้นานก็คุ้มดีนะ :: Text by FLASH
ช่างภาพ : กมลภัทร พงศ์สุวรรณ
แต่งหน้า : Shei Panlilio
ทำผม : กัลยาณี พึ่งประดิษฐ์