โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ตัวฉันเองเพิ่งเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ตอนโตแล้ว เลยไม่เคยเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกรุงเมื่อสมัยหลายสิบปีก่อน แต่เพื่อนบางคนก็บอกว่า ถึงจะเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ก็ยังไม่เคยสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน เพราะว่าเกิดไม่ทัน ได้ยินแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังเท่านั้น
แต่มาถึงตอนนี้ฉันอยากจะบอกว่า ภาพวิถีชีวิตเก่าๆ แบบนั้นก็ได้กลับมาให้เราได้สัมผัสกันอีกครั้ง ผ่านตัวอาคารสถานที่ ข้าวของเครื่องใช้ และภาพถ่ายต่างๆ ที่อยู่ภายใน “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก” ที่ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 43 ย่านบางรักนี่เอง
ที่ฉันเล่ามาแบบนี้ ก็เพราะอยากจะชวนทุกคนไปลองเที่ยวดู เพราะที่นี่เขารวบรวมเรื่องราวของชาวกรุงในอดีตไว้ให้เราชมและศึกษากันแบบเข้าใจง่าย และยังซ่อนความสนุกสนานผ่านเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ มากมาย
เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ อาจจะมองเห็นเป็นแค่บ้านเก่าๆ ที่ซ่อนอยู่ในดงต้นไม้ร่มครึ้ม แต่ขอบอกเลยว่าที่นี่แหละ คือขุมทรัพย์ของความรู้ต่างๆ มากมาย โดยที่นี่เปิดให้เข้าชมกันได้ฟรีๆ และยังมีเจ้าหน้าที่มาคอยต้อนรับ เล่าเรื่องราวประวัติของบ้านและพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงนำชมส่วนต่างๆ พร้อมเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสนุกๆ ให้ฟังอีกด้วย
เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์เล่าให้ฟังว่า พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกแห่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ อาจารย์วราพร สุรวดี ที่อยากให้บ้านหลังนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้เยาวชนได้เข้ามาศึกษา ซึ่งบ้านหลังนี้ก็เป็นมรดกตกทอดมาจากมารดา คือ คุณสอาง สุรวดี (ตันบุณเต็ก) และได้นำมาปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และโอนกรรมสิทธิ์ให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแล เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2547
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีลักษณะเป็นบ้านพักอาศัยที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวบางกอกที่มีฐานะปานกลาง ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ พ.ศ.2480-2500) ซึ่งจะแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 อาคาร
เริ่มจากอาคารหลังแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากตะวันตก หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องว่าวสีแดง ที่ชั้นล่างจะประกอบด้วยห้องหนังสือ ห้องอาหาร ห้องรับแขก และห้องนอนเล็ก ที่แต่ละห้องนั้นก็จะมีข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ที่จัดแสดงไว้ให้เห็น
ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น เปียโนงาช้าง ที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก ซึ่งในสมัยก่อนมีความเชื่อกันว่า ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้มานั่งเล่นเปียโนงาช้างแบบนี้ เพราะเปียโนงาช้างจะสามารถดูดพิษไข้ได้ ส่วนที่ห้องอาหาร ก็จะมีโต๊ะไม้สำหรับกินข้าวขนาดใหญ่วางตั้งอยู่กลางห้อง ที่เด็ดสุดก็คือ โต๊ะตัวนี้สามารถขยายให้ยาวออกมาได้อีก หากว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือนที่บ้านแล้วอยากจะนั่งกินข้าวด้วยกันก็สามารถเพิ่มที่นั่งได้
และที่ใต้บันไดติดกับห้องนอน ก็จะเป็นห้องน้ำ มองเข้าไปแล้วก็เหมือนกับโถส้วมธรรมดา แต่ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่ามีลักษณะเป็นกระโถนที่รองอยู่ด้านล่าง เป็นโถส้วมที่ใช้สมัยที่ยังไม่มีน้ำประปาและส้วมชักโครก เมื่อถ่ายแล้วก็จะมีคนนำกระโถนที่รองอยู่ด้านล่างไปเททิ้ง ทำความสะอาด และนำมาใช้ใหม่ได้
ส่วนที่ชั้นสองของอาคารหลังแรกจะมีห้องนอนใหญ่ ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งเป็นไฮไลต์ของชั้นบนนี้ เพราะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งศิลปะแบบเดโค คือ มีกระจกประดับทั้ง 3 ด้าน สามารถมองได้ทั้งด้านหน้า-ซ้าย-ขวา ในคราวเดียวกัน
จากอาคารหลังแรก ก็เดินลัดเลาะใต้ต้นไม้มาถึงอาคารหลังที่ 2 ซึ่งเดิมนั้นบ้านหลังนี้ปลูกอยู่ที่ทุ่งมหาเมฆ จุดประสงค์ที่สร้างบ้านหลังนี้ คือ เพื่อใช้ชั้นล่างเป็นคลินิกของ คุณหมอฟรานซิส คริสเตียน ชาวอินเดีย ซึ่งเป็นสามีคนแรกของคุณแม่ของ อ.วราพร ท่านจบการศึกษาทางด้านศัลยแพทย์ จากอังกฤษ แต่ครั้นบ้านหลังนี้สร้างเสร็จยังไม่ทันเข้าอยู่ คุณหมอฟรานซิส ก็ล้มป่วยลง และเสียชีวิต บ้านหลังนี้จึงไม่ได้ใช้เอง คุณแม่ของ อ.วราพร ให้คนเช่าเรื่อยมา จนยกที่ดินนี้ให้แก่ อ.วราพร ในที่สุด
ครั้นเมื่อจะทำพิพิธภัณฑ์นั้นขาดเงินที่จะนำมาปรับปรุง จึงขายที่ดินและขอเอาบ้านไว้ และได้รื้อบ้านที่ทุ่งมหาเมฆ มาจัดสร้างไว้ที่นี่ โดยมีขนาดย่อส่วนลงตามพื้นที่ที่มีจำกัด ตกแต่งบ้านด้วยสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆของคุณหมอ ฟรานซิสคริสเตียน เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับคุณหมอผู้ล่วงลับไปแล้ว นอกจากนี้โถงล่างของบ้านจัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆ รวมถึงแบบแปลนของอาคารหลังนี้ ส่วนที่ชั้นบนจัดเป็นห้องนอนและห้องทำงาน ซึ่งเก็บรวบรวมของใช้เก่าๆ รวมถึงเครื่องมือแพทย์ในสมัยนั้นให้เราได้ชมกัน
มาที่อาคารหลังที่ 3 อาคารหลังนี้จัดแสดงเป็นนิทรรศการ โดยชั้นล่างแสดงสิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวันของชาวบางกอกในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัว หม้อ กระทะ ตู้เย็น ฯลฯ ที่ใกล้ๆ กันนั้นก็มีการจัดโต๊ะอาหารของคนไทย คนจีน และชาวตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีถ้วยชาม เครื่องมือช่าง ของเล่นเด็ก อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย และยังมีของที่ระลึกจากสินค้าต่างๆ ในสมัยก่อน ที่บางชิ้นฉันก็เคยเห็นมาบ้างแล้ว
ส่วนที่ชั้นสอง จัดแสดงเป็นนิทรรศการต่างๆ ในหัวข้อพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในเขตบางรัก ซึ่งบริหารจัดการโดยกทม. มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพฯ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ประวัติความเป็นมาของชื่อ บางกอก ประวัติความเป็นมาของเขตบางรัก
เดินเล่นเดินชมอยู่ในพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกอยู่หลายชั่วโมง ฉันได้รับทั้งความเพลิดเพลินใจ และความรู้ต่างๆ มากมาย ที่สำคัญยังได้มองเห็นภาพว่าคนในยุคก่อนเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้าง เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่เรามีกันอยู่ทุกวันนี้ก็ล้วนแต่พัฒนามาจากของใช้ของคนในสมัยก่อนทั้งนั้น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่า หากไม่มีบรรพบุรุษเก่งๆ ในสมัยนั้น เราก็คงไม่ได้อยู่กันแบบสบายๆ เหมือนในทุกวันนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” หรือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก ตั้งอยู่ที่ 273 ซอยเจริญกรุง 43 ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กทม. หากเดินทางจากถนนเจริญกรุง ให้เลี้ยวเข้าซอยเจริญกรุง 43 ไปประมาณ 300 เมตร จะเห็นพิพิธภัณฑ์ฯ ตั้งอยู่ทางขวามือ
พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เปิดทำการวันพุธ-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์-อังคาร) เวลา 08.00-16.00 น. เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2233-7027
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
ตัวฉันเองเพิ่งเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็ตอนโตแล้ว เลยไม่เคยเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกรุงเมื่อสมัยหลายสิบปีก่อน แต่เพื่อนบางคนก็บอกว่า ถึงจะเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ก็ยังไม่เคยสัมผัสกับวิถีชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน เพราะว่าเกิดไม่ทัน ได้ยินแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังเท่านั้น
แต่มาถึงตอนนี้ฉันอยากจะบอกว่า ภาพวิถีชีวิตเก่าๆ แบบนั้นก็ได้กลับมาให้เราได้สัมผัสกันอีกครั้ง ผ่านตัวอาคารสถานที่ ข้าวของเครื่องใช้ และภาพถ่ายต่างๆ ที่อยู่ภายใน “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก” ที่ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 43 ย่านบางรักนี่เอง
ที่ฉันเล่ามาแบบนี้ ก็เพราะอยากจะชวนทุกคนไปลองเที่ยวดู เพราะที่นี่เขารวบรวมเรื่องราวของชาวกรุงในอดีตไว้ให้เราชมและศึกษากันแบบเข้าใจง่าย และยังซ่อนความสนุกสนานผ่านเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ มากมาย
เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ อาจจะมองเห็นเป็นแค่บ้านเก่าๆ ที่ซ่อนอยู่ในดงต้นไม้ร่มครึ้ม แต่ขอบอกเลยว่าที่นี่แหละ คือขุมทรัพย์ของความรู้ต่างๆ มากมาย โดยที่นี่เปิดให้เข้าชมกันได้ฟรีๆ และยังมีเจ้าหน้าที่มาคอยต้อนรับ เล่าเรื่องราวประวัติของบ้านและพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมถึงนำชมส่วนต่างๆ พร้อมเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสนุกๆ ให้ฟังอีกด้วย
เจ้าหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์เล่าให้ฟังว่า พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกแห่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ อาจารย์วราพร สุรวดี ที่อยากให้บ้านหลังนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้เยาวชนได้เข้ามาศึกษา ซึ่งบ้านหลังนี้ก็เป็นมรดกตกทอดมาจากมารดา คือ คุณสอาง สุรวดี (ตันบุณเต็ก) และได้นำมาปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์อย่างที่เห็นในปัจจุบัน และโอนกรรมสิทธิ์ให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแล เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2547
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีลักษณะเป็นบ้านพักอาศัยที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของชาวบางกอกที่มีฐานะปานกลาง ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณ พ.ศ.2480-2500) ซึ่งจะแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 3 อาคาร
เริ่มจากอาคารหลังแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลจากตะวันตก หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องว่าวสีแดง ที่ชั้นล่างจะประกอบด้วยห้องหนังสือ ห้องอาหาร ห้องรับแขก และห้องนอนเล็ก ที่แต่ละห้องนั้นก็จะมีข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ที่จัดแสดงไว้ให้เห็น
ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น เปียโนงาช้าง ที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก ซึ่งในสมัยก่อนมีความเชื่อกันว่า ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้มานั่งเล่นเปียโนงาช้างแบบนี้ เพราะเปียโนงาช้างจะสามารถดูดพิษไข้ได้ ส่วนที่ห้องอาหาร ก็จะมีโต๊ะไม้สำหรับกินข้าวขนาดใหญ่วางตั้งอยู่กลางห้อง ที่เด็ดสุดก็คือ โต๊ะตัวนี้สามารถขยายให้ยาวออกมาได้อีก หากว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือนที่บ้านแล้วอยากจะนั่งกินข้าวด้วยกันก็สามารถเพิ่มที่นั่งได้
และที่ใต้บันไดติดกับห้องนอน ก็จะเป็นห้องน้ำ มองเข้าไปแล้วก็เหมือนกับโถส้วมธรรมดา แต่ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่ามีลักษณะเป็นกระโถนที่รองอยู่ด้านล่าง เป็นโถส้วมที่ใช้สมัยที่ยังไม่มีน้ำประปาและส้วมชักโครก เมื่อถ่ายแล้วก็จะมีคนนำกระโถนที่รองอยู่ด้านล่างไปเททิ้ง ทำความสะอาด และนำมาใช้ใหม่ได้
ส่วนที่ชั้นสองของอาคารหลังแรกจะมีห้องนอนใหญ่ ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว โต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งเป็นไฮไลต์ของชั้นบนนี้ เพราะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งศิลปะแบบเดโค คือ มีกระจกประดับทั้ง 3 ด้าน สามารถมองได้ทั้งด้านหน้า-ซ้าย-ขวา ในคราวเดียวกัน
จากอาคารหลังแรก ก็เดินลัดเลาะใต้ต้นไม้มาถึงอาคารหลังที่ 2 ซึ่งเดิมนั้นบ้านหลังนี้ปลูกอยู่ที่ทุ่งมหาเมฆ จุดประสงค์ที่สร้างบ้านหลังนี้ คือ เพื่อใช้ชั้นล่างเป็นคลินิกของ คุณหมอฟรานซิส คริสเตียน ชาวอินเดีย ซึ่งเป็นสามีคนแรกของคุณแม่ของ อ.วราพร ท่านจบการศึกษาทางด้านศัลยแพทย์ จากอังกฤษ แต่ครั้นบ้านหลังนี้สร้างเสร็จยังไม่ทันเข้าอยู่ คุณหมอฟรานซิส ก็ล้มป่วยลง และเสียชีวิต บ้านหลังนี้จึงไม่ได้ใช้เอง คุณแม่ของ อ.วราพร ให้คนเช่าเรื่อยมา จนยกที่ดินนี้ให้แก่ อ.วราพร ในที่สุด
ครั้นเมื่อจะทำพิพิธภัณฑ์นั้นขาดเงินที่จะนำมาปรับปรุง จึงขายที่ดินและขอเอาบ้านไว้ และได้รื้อบ้านที่ทุ่งมหาเมฆ มาจัดสร้างไว้ที่นี่ โดยมีขนาดย่อส่วนลงตามพื้นที่ที่มีจำกัด ตกแต่งบ้านด้วยสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆของคุณหมอ ฟรานซิสคริสเตียน เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับคุณหมอผู้ล่วงลับไปแล้ว นอกจากนี้โถงล่างของบ้านจัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆ รวมถึงแบบแปลนของอาคารหลังนี้ ส่วนที่ชั้นบนจัดเป็นห้องนอนและห้องทำงาน ซึ่งเก็บรวบรวมของใช้เก่าๆ รวมถึงเครื่องมือแพทย์ในสมัยนั้นให้เราได้ชมกัน
มาที่อาคารหลังที่ 3 อาคารหลังนี้จัดแสดงเป็นนิทรรศการ โดยชั้นล่างแสดงสิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวันของชาวบางกอกในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัว หม้อ กระทะ ตู้เย็น ฯลฯ ที่ใกล้ๆ กันนั้นก็มีการจัดโต๊ะอาหารของคนไทย คนจีน และชาวตะวันตก
นอกจากนี้ยังมีถ้วยชาม เครื่องมือช่าง ของเล่นเด็ก อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย และยังมีของที่ระลึกจากสินค้าต่างๆ ในสมัยก่อน ที่บางชิ้นฉันก็เคยเห็นมาบ้างแล้ว
ส่วนที่ชั้นสอง จัดแสดงเป็นนิทรรศการต่างๆ ในหัวข้อพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในเขตบางรัก ซึ่งบริหารจัดการโดยกทม. มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพรวมของกรุงเทพฯ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ประวัติความเป็นมาของชื่อ บางกอก ประวัติความเป็นมาของเขตบางรัก
เดินเล่นเดินชมอยู่ในพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอกอยู่หลายชั่วโมง ฉันได้รับทั้งความเพลิดเพลินใจ และความรู้ต่างๆ มากมาย ที่สำคัญยังได้มองเห็นภาพว่าคนในยุคก่อนเขาใช้ชีวิตกันอย่างไรบ้าง เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่เรามีกันอยู่ทุกวันนี้ก็ล้วนแต่พัฒนามาจากของใช้ของคนในสมัยก่อนทั้งนั้น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่า หากไม่มีบรรพบุรุษเก่งๆ ในสมัยนั้น เราก็คงไม่ได้อยู่กันแบบสบายๆ เหมือนในทุกวันนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” หรือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก ตั้งอยู่ที่ 273 ซอยเจริญกรุง 43 ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กทม. หากเดินทางจากถนนเจริญกรุง ให้เลี้ยวเข้าซอยเจริญกรุง 43 ไปประมาณ 300 เมตร จะเห็นพิพิธภัณฑ์ฯ ตั้งอยู่ทางขวามือ
พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก เปิดทำการวันพุธ-อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์-อังคาร) เวลา 08.00-16.00 น. เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2233-7027
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com