การจะหาที่เที่ยวพักผ่อนริมชายหาดที่มีทะเลสวยน้ำใส และอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงบรรดากลุ่มเกาะต่างๆ ขึ้นมาเป็นอันดับแรก
"เกาะเสม็ด" จ.ระยอง ถือเป็นอีกเกาะหนึ่งทางภาคตะวันออกของไทย ที่นักท่องเที่ยวมักจะใช้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เมื่อต้องการจะไปเที่ยวทะเล เนื่องจากเกาะเสม็ดอยู่ห่างจากกรุงเทพไม่มากนัก ทำให้สามารถขับรถมาได้ และนั่งเรือต่อไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถึงตัวเกาะ
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์กรณีที่น้ำมันดิบรั่วไปยัง "อ่าวพร้าว" พื้นที่ทางด้านตะวันตกของเกาะ ได้สร้างผลกระทบต่อทางเกาะเสม็ดมากมาย และผลกระทบที่เห็นได้ชัดในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของการท่องเที่ยว ที่เห็นได้จากยอดการจองห้องพัก และการยกการเข้าพักของโรงแรม รีสอร์ทต่างๆ และกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า หรือร้านอาหาร ก็ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบรองลงมา
ทั้งนี้ผู้ประกอบการบนเกาะเสม็ดส่วนใหญ่ เปิดเผยว่า ข่าวเรื่องน้ำทะเลมีสารปนเปื้อน ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ทำให้นักท่องเที่ยวไม่รับประทานอาหารทะเล เพราะกลัวจะมีสารปนเปื้อน พร้อมกันนี้ยังวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็ว
อย่างไรก็ดีร้านอาหารบนเกาะเสม็ดต่างให้ข้อมูลว่า อาหารทะเลบนเกาะเสม็ดนำมาจากบนฝั่ง สามารถรับประทานได้ตามปกติ โดยพนักงานร้านอาหารอาปาเช่ บริเวณอ่าวลุงดำ กล่าวว่าจากเหตุการณ์ที่น้ำมันดิบรั่วไหลมานั้น เท่าที่สังเกตุได้คือนักท่องเที่ยวลดน้อยลง แต่ก็ไม่มากนัก เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่น ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่หายไปก็จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย สังเกตได้จากช่วงวันหยุดยาว(วันแม่) ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก เนื่องจากยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
“อาหารทะเลที่ร้านยังขายได้ปกติ ไม่มีอะไร นักท่องเที่ยวก็ยังสั่งอยู่ เพราะอาหารทะเลของร้านเราซื้อมาจากทางฝั่ง(บ้านเพ) ก็ยังไม่เห็นมีใครบอกว่าไม่กิน หรือกินแล้วมีอาการอะไรนะ อีกอย่างนักท่องเที่ยวก็คงรู้แหละว่ามันไม่มีอะไร แล้วก็คงคิดว่าอาหารทะเลไม่จำเป็นต้องมาจากทางเกาะ อาจจะมาจากแหล่งอื่นด้วยก็ได้” พนักงานกล่าว
ส่วนป้าต้อย แม่ค้าหาบเร่บริเวณอ่าววงเดือน กล่าวว่า ตอนนี้ก็ขายได้ปกติ เพราะช่วงนี้เป็นโลว์ซีซัน ก็ขายได้น้อยกว่าหน้าไฮซีซันอยู่แล้ว แต่ถามว่าขายได้น้อยลงกว่าเดิมไหม ก็ขายได้น้อยลงแต่ก็ไม่ถึงกับขายไม่ได้เลย เพราะตรงอ่าววงเดือนนี้ก็อยู่คนละด้านกับอ่าวพร้าวยังมีนักท่องเที่ยวอยู่ ที่นี่ยังคึกคักนักท่องเที่ยวก็ยังเที่ยว-กินกันปกติ
ทางด้านศรัณยา แฮสเลอร์ นักท่องเที่ยวชาวไทยและครอบครัวบอกกับเราว่า มาอยู่ที่นี่ได้ 5 วันแล้ว ปกติแล้วมาเที่ยวเกาะเสม็ดทุกปี อย่างปีที่แล้วก็มา และปีนี้ก็มาอีก ก่อนมาก็ได้ติดตามข่าวมาตลอด และคิดว่าไม่มีผลกระทบอะไร เพราะอ่าวพร้าวกับอ่าวที่มาพักอยู่คนละฝั่งกัน แล้วอีกอย่างก็เห็นว่าได้มีการกำจัดคราบน้ำมันไปเกือบหมดแล้ว คงไม่ไหลมาทางอ่าวเราแน่นอน ก็เลยวางใจได้ เลยตัดสินใจมา
ทั้งนี้ในส่วนผลกระทบต่อเหตุการณ์น้ำมันรั่วศรัณยาได้กล่าวว่า
“ตอนนี้เท่าที่เห็นคือนักท่องเที่ยวน้อยลง ดูเงียบเหงากว่าเดิม จริงๆแล้วน่าสงสารพวกโรงแรมมากกว่า คิดว่านักท่องเที่ยวคงน้อยลงน่าสงสารเขา ต้องเสียรายได้ไป ส่วนเรื่องสารพิษอะไรยังไม่เห็นมีอะไรนะ เพราะมันอยู่คนละฝั่งกัน ยังลงเล่นน้ำอยู่เลย และยังให้ลูกลงเล่นน้ำเล่นทรายเลยด้วย ก็ไม่มีอะไร”
“เรื่องอาหารทะเลก็ยังกินได้ปกติ ยังไม่มีอะไร สบายใจได้ เพราะก่อนมาก็ได้เช็คข่าวแล้วมาก่อนเหมือนกันว่าเป็นยังไง เพราะเรามาทะเลก็อยากมากินอาหารทะเล อยู่ในแหล่งทั้งทีจะไม่กินมันก็ไม่ได้ อย่างเมื่อเช้าก็กินข้าวต้มของโรงแรม ก็ไม่มีอะไรนะอาหารทะเลก็ยังสดดี กินได้ค่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ตอนนี้คิดว่าควรจะออกข่าวให้ครบไปเลย เพราะตอนดูข่าวก็มีแต่ข่าวที่เกี่ยวกับอ่าวพร้าว ในส่วนของอ่าวอื่นๆ ก็ไม่ค่อยเห็นมีข่าวออกเท่าไหร่ อยากให้ออกข่าวอ่าวอื่นด้วยว่าเป็นยังไง ยังเที่ยวได้ปกติมั้ย เพราะนักท่องเที่ยวก็ยกเลิกห้องพักต่างๆ ก็สงสารคนทำธุรกิจเหมือนกัน แล้วมีอะไรก็อยากให้ออกข่าวตามจริงไปเลย”ศรัณยากล่าวทิ้งท้าย
ด้าน Robert Hasler นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บอกว่า “เราดูจากแผนที่ว่าทางนี้ไม่มีน้ำมัน และผมก็ไปว่ายน้ำวิ่งเล่นทุกวัน ก็ปกติไม่มีอะไร ช่วงนี้อากาศดี น้ำใสมาก รู้สึกว่าสวยกว่าปีที่แล้วอีก ผมว่ามาเที่ยวที่นี่ได้ ไม่ต้องไปไกลถึงใต้หรอก แต่คราวนี้ที่มาเที่ยว ปกติผมดำน้ำทุกปี แต่ปีนี้ยังไม่เห็นปลานีโม่ เพราะปีที่แล้วมาเห็น แต่ปีนี้ยังไม่เห็น”
ขณะที่สถานการณ์การค้าขายในตลาดบ้านเพที่บนฝั่งนั้นดูซบเซาลงไปกว่าปกติมาก โดยแม่ค้า-พ่อค้า หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่ว ทำตลาดบ้านเพเงียบเหงา ผู้คนไปจับจ่ายอาหารทะเลกันน้อยลง ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากผลกระทบในเรื่องของกรณีน้ำมันดิบรั่วทำให้คนยังไม่มั่นใจในเรื่องของอาหารทะเลกันอยู่
แม่ค้าร้านกุหลาบซีฟู้ด บริเวณตลาดบ้านเพกล่าวว่า ช่วงนี้อาหารทะเลขายได้น้อยลง คนไม่กล้าที่จะซื้ออาหารทะเลกิน เพราะไม่รู้ว่าอาหารทะเลนั้นมาจากแหล่งไหนอาจจะมาจากแถบเกาะเสม็ดหรือใกล้ๆ บริเวณที่เกิดเหตุก็ได้ แล้วอีกอย่างคนยังกลัวว่าถ้ากินอาหารทะเลเข้าไปอาจมีสารปนเปื้อนจากน้ำมันอยู่ ตรงนี้ก็อยากให้ชี้แจงไปเลยว่ามีผลกระทบอะไรหรือไม่ เพราะถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ คนค้าขายก็ลำบาก
ด้านนายจัตุรัส เอี่ยมวรนิรันดร์ นายกสมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กจังหวัดระยอง กล่าวว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ชาวบ้านเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว โดยมีสัตว์ทะเลหลายๆ ชนิดตาย เช่น หอยเสียบ หมึก โลมา และพื้นที่ชายทะเลได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น คือ ที่บริเวณแหลมแม่พิมพ์ ปากน้ำประแสร์ หาดแม่รำพึง เป็นต้น
“หน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ควรรีบสรุปปัญหา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เนื่องจากยังมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งควรจะต้องให้การช่วยเหลือในระยะสั้น กลาง และยาว โดยอาจจะเป็นเดือน ปี หรือปลายๆปี ซึ่งควรวางแผนการช่วยเหลืออย่างเป็นกลาง และครอบคลุมในหลายๆ อาชีพที่ได้รบผลกระทบ” นายจัตุรัส กล่าว
และนี่ก็เป็นเพียงเสียงบางส่วนที่บอกเล่าถึงของผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกรณีน้ำมันดิบรั่ว และถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีผลกระทบให้เห็นมากนัก แต่เชื่อได้ว่าระบบนิเวศน์ใต้ทะเลย่อมเปลี่ยนไป แล้วเมื่อไหร่แก้ไขได้ จะอีกเป็นเดือน เป็นปี หรือเป็นสิบปี กว่าสิ่งเหล่านั้นจะฟื้นฟูกลับมาได้ แล้วใครล่ะ...ที่จะเป็นผู้รับผิดชอบที่แท้จริง?
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com