xs
xsm
sm
md
lg

ปีนัง (1) มรดกอาณานิคมริมฝั่งจอร์จทาวน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : The Minnie
 ซิตีฮอลล์ ความรุ่งเรืองของลัทธิล่าอาณานิคม
แม้จะคุ้นชื่อ “ปีนัง” จากหนังละครยุคปริศนามานาน แต่ฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เยือนเกาะอันเลื่องชื่อแห่งนี้ จนกระทั่งต้องไปเป็นสักขีพยายานงานแต่งของเพื่อนที่ อ.สะเดา หมู่เราจึงมีไอเดียไถลไปเที่ยวต่างประเทศแบบใกล้ๆ กันเสียหน่อย

จากสะเดาเข้าออกปีนังไม่ยาก มีรถตู้ไปกลับหาดใหญ่-ปีนังให้บริการทุกวัน (แถมวันละหลายเที่ยว) หรือจะเป็นรถไฟก็มีตรงจากหัวลำโพง ผ่านภาคใต้สุดทางที่สถานีเมืองบัตเตอร์เวิร์ธ ประเทศมาเลเซีย จากนั้นก็ข้ามเรือที่ท่าชื่อเดียวกัน เข้าสู่เกาะปีนังได้อย่างสบายเช่นกัน

การเดินทางของพวกฉันครั้งนี้ เป็นแบบผสมผสาน ตามตารางเวลาที่เร่งเร้าให้เป็นเช่นนั้น โดยการบินไปลงที่ปีนัง แล้วนั่งรถย้อนกลับเข้าประเทศเพื่อร่วมพิธีสำคัญของเพื่อน พวกเราเลือกสายการบินราคาถูกจากกรุงเทพฯ เพราะใช้เวลาเดินทางแค่ 90 นาทีถึงปีนัง จึงไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายระหว่างทาง
บ้านท่านพระยาภูมินารถภักดีที่ลูกหลานเปิดให้พัก
ไฟล์ทเช้าตรู่ คือ มติเอกฉันท์ของลูกทัวร์ เรามีเวลาที่ปีนังเพียงแค่ 2 วันกว่าๆ จึงทำให้การไปถึงแต่เช้า (ที่สุด) เป็นสิ่งที่ปรารถนายิ่งนัก

แต่แล้วสิ่งที่เขาร่ำลือก็มาถึง ช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเดินทางฉันได้รับแจ้งจากสายการบินว่า “ขอยกเลิกไฟล์ทเช้า ให้พวกเราไปเดินทางในไฟล์ทบ่ายแทน” ไถ่ถามไปก็ให้เหตุผลที่น่ารับฟังว่า “ต้องเติมน้ำมันและทำความสะอาดเครื่องบิน จึงเตรียมเครื่องไม่ทัน” ไม่เช่นนั้นท่านก็เลือกวันอื่นๆ แต่ในเส้นทางเดิม เพราะตั๋วนี้ไม่สามารถเปลี่ยนคนหรือเปลี่ยนเส้นทางได้

ยอมรับว่าเสียเส้นพอควร เพราะช่วงเวลายังไงก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ไม่อยากให้เสียอารมณ์ในการท่องเที่ยว จึงบ่นไปพองาม และจำยอมเดินทางในช่วงบ่าย (แต่ก็จำไว้เพราะไม่มีของขวัญขอโทษใดๆ แนบกลับมาให้เลย)

นั่นจึงทำให้พวกเราได้เหยียบสนามบินแห่ง “ปูเลาปีนัง” ในช่วงเย็น และรีบโบกแท็กซี่ที่เป็นยี่ห้ออื่นใดไปไม่ได้นอกจาก “โปรตรอน” นำพาสู่ที่หมายปลายทาง ณ ใจกลาง “จอร์จทาวน์” เมืองหลวงของรัฐปีนัง
 บูลเฮาส์ ที่เจ้าของได้รับฉายาว่าเป็น ร็อกกีเฟลเลอร์แห่งตะวันออก
จากสนามบินสู่ที่พักประมาณ 10 กิโลฯ (เอง) แต่พวกเราดันไปโผล่ในช่วงเวลาเลิกงานของเย็นวันศุกร์ กว่าจะถึงที่พักก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ช่วงเวลาเกินปกติบนแท็กซี่ก็หาได้น่าเบื่อ เพราะเพลินกับการสำรวจบ้านเมือง ไล่รวมไปถึง “เจ้าโปรตรอน” ที่วิ่งขวักไขว่มากหน้าหลายตา ผลงานสร้างสรรค์ภายในประเทศนี้

ฉันเลือกที่พักเป็นบ้านเก่าบน “ถนนปีนัง” เพราะสืบสาวราวเรื่องก่อนร่อนอีเมลมาจองได้ความว่า คฤหาสน์ร่วมร้อยปีหลังนี้เป็นของ “กูเด็น บินกูแมะ” (Ku Din Ku Meh) หรือ พระยาภูมินารถภักดี อดีตเจ้าเมืองสตูล สมัยช่วงรัชกาลที่ 5-6 ซึ่งปัจจุบันเปิดให้เป็นที่พัก และมีเหลนของท่านเป็นผู้จัดการดูแล

มาปีนังทั้งที ก็ขอเลือกพักระดับคฤหาสน์ท่านเจ้าคุณคงจะดูขลังดีไม่น้อย ที่สำคัญบ้านท่านอยู่ในสมรภูมิอันดียิ่ง ทั้งการเดินชมอาคารและการตามชิมอาหาร ซึ่งเป็น 2 กิจกรรมหลักในการท่องปีนังครั้งนี้

พักที่บ้านโบราณแล้ว ก็ต้องประเดิมการท่องเที่ยวด้วย “เส้นทางสายมรดกโลก” (Heritage Walk) ให้สมกับที่มาเยือนเมืองที่ได้รับตำแหน่ง “มรดกโลก” หมาดๆ เมื่อปีกลาย

อาคารบ้านเรือนที่เป็นส่วนของมรดกโลก อยู่กระจัดกระจายในแถบชายฝั่งเมืองจอร์จทาวน์ แต่ส่วนใหญ่ตั้งกระจุกตัวอยู่บนนถนน 2 สายหลักคือ “เชิร์ช สตรีท” (Church Street) และ “ไลท์ สตรีท” (Light Street) ที่ทอดยาวเกือบขนานกัน และยังขนานกับแนวชายฝั่งทะเลอีกด้วย
โบสถ์อัสสัมชัน อายุนับศตวรรษของคาธอลิก
“บลูเฮาส์” คือจุดแรกที่ฉันเรียบๆ เคียงๆ ดู เป็นบ้านจีนสีสันสวยงาม (นำด้วยสีน้ำเงินเหมือนชื่อในภาษาฝรั่ง) ปัจจุบันเปิดเป็นที่พัก แต่ราคาค่อนข้างสูง เพราะที่แห่งนี้มีรางวัลพิเศษจากยูเนสโกประดับไว้ตั้งแต่ปี 2000 ในฐานะที่อนุรักษ์อาคารอายุกว่าศตวรรษให้เป็นมรดกที่สวยงามดั่งของเดิม

แม้ไม่พักที่นี่ แต่ก็มีทัวร์ชมตัวบ้านได้ (ในราคาคนละ 12 ริงกิต) น่าเสียดายที่ฉันมาเย็นเกินกว่าจะมีโอกาสได้เห็นห้องหับต่างๆ ที่มีมากถึง 38 ห้อง พร้อมด้วยหน้าต่างอีก 220 บานในบ้านสีน้ำเงินหลังนี้

จากบลูเฮาส์ เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ตามเชิร์ชสตรีท ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของอาคารสถานที่เก่าสมัยปลายศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่เรียงราย อาทิ “โบสถ์อัสสัมชัญ” ถัดมาเป็น “พิพิธภัณฑ์ปีนังและอาร์ตแกลลอรี” และเดินไปอีกไม่ไกลเป็น “โบสถ์เซ็นต์จอร์จ” นิกายแองกลิกันที่ชาวอังกฤษนับถือ ถือได้ว่าเป็นโบสถ์ประจำนิกายเก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ สร้างขึ้นจากแรงงานของนักโทษ

บนถนนแห่งนี้เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางศาสนา สมกับที่ตั้งชื่อว่า “เชิร์ช” สะท้อนวิถีของผู้คนในสมัยนั้นที่ผูกพันกับศาสนาอย่างชัดเจน

พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแล้ว พวกฉันลัดเลาะเข้าสู่ถนนไลท์ ที่ตั้งขึ้นตามชื่อของ “เซอร์ฟรานซิส ไลท์” พ่อค้าชาวอังกฤษแห่งบริษัทอีสต์อินเดียน ผู้เดินทางมาหาท่าเทียบเรือรบและสินค้าก็ได้ขึ้นมาที่เกาะแห่งนี้ จนเจรจาขอเช่าเกาะได้ (ในยุคเดียวกันก็มีพ่อค้าชาวอังกฤษมาตั้งถิ่นฐานแถวนี้อีก 2 เกาะคือที่มะละกาและสิงคโปร์)
 เซนต์จอร์จ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกให้เซอร์ฟรานซิส ไลท์
รูปปั้นของท่านเซอร์ไลท์ตั้งอยู่บริเวณที่ท่านขึ้นฝั่งในปี 1786 และข้างๆ เป็น “ป้อมคอร์นวาลลิส” (Fort Cornwallis) ที่ด้านในมี “เสรี รัมใบ” ปืนใหญ่ที่มีชื่อเสียงของฮอลันดา ซึ่งกำนัลให้แก่สุลต่านรัฐยะโฮร์ แต่ถูกโปรตุเกสชิงไป และส่งต่อไปยังชวา ท้ายที่สุดอังกฤษก็นำกลับมามาที่นี่

ปัจจุบันเสรี รัมใบไม่ใช่แค่ปืนใหญ่เก่าแก่ในตำนานที่ทรงพลานุภาพ แต่ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นที่เลื่องลือ หากหญิงใดต้องการได้ลูก ขอให้นำดอกไม้ไปวางที่ปากกระบอกปืนใหญ่และอธิษฐาน ทว่าสาวๆ ที่ร่วมทางยังไม่มีโครงการผลิตทายาท จึงเลียบเลาะกำแพงป้อมปืนผ่านไป

หลังจากรายงานตัวกับอดีตผู้มีอิทธิพลของเกาะแล้ว พวกฉันมุ่งสู้เส้นทางริมน้ำ เพื่อชมแสงสีบริเวณ “เอสพลานาร์ด” ที่ไม่ใช่ห้างกลางเมือง แต่เป็นพื้นที่โล่งริมชายหาด โดยมีอาคาร 2 หลังที่เคยใช้เป็น “ทาวน์ฮอลล์” และ “ซิตีฮอลล์” ประดับประดาด้วยแสงไฟ พร้อมด้วย “อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1” (The Cenotaph) ตั้งอยู่บริเวณที่ลานแห่งนั้น

“ซิตีฮอลล์” นับเป็นอาคารสมัยโคโลเนียนที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยิ่งนัก มีลักษณะเด่นของเสาแบบกรีก และหน้าต่างบานใหญ่ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของลัทธิจักรวรรดินิยม และครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่นมาแล้ว จึงได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีกระทั่งถึงปัจจุบัน
ถนนหนทางในย่านเมืองเก่าของจอร์จทาวน์สะอาดและสงบ
ที่บริเวณเอสพลานาร์ดแห่งนี้ มีสวนหย่อมและต้นไม้ใหญ่เรียงราย ไปตามทางเดินริมชายฝั่ง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวปีนัง ทั้งหนุ่มสาวและครอบครัวต่างพากันมาสูดอากาศริมทะเล มองไปเห็นสะพานแขวนข้ามสู่ฝั่งลิบๆ (ถ้าในตอนกลางวันน่าจะมองเห็นได้ชัดเจน)

พวกเราสูดกลิ่นทะเลปีนังพร้อมกับลิ้มรสไอศกรีมรถเข็นในแบบมาเลย์กันอย่างสบายอารมณ์แล้ว ก็มุ่งหน้าต่อไปยังหอนาฬิกา ที่เป็นเสมือนหมุดปักใจกลางเมือง ซึ่งมีที่ทำการของรัฐปีนังอยู่ในบริเวณนั้น ที่วงเวียนหอนาฬิกานี้เชื่อมต่อกับเชิร์ชสตรีท และบีชสตรีท

“บีชสตรีท” เป็นชื่อถนนที่ไม่ได้อยู่เลียบชายหาดแต่อย่างใด ถนนที่ติดชายหาดจริงๆ ชื่อ “เวล์ด เควย์” (Weld Quay) ตามเส้นนี้จะมีท่าเทียบเรือข้ามฟากสู่แผ่นดินใหญ่ ไปลังกาวี และมะละกา ส่วนบีชสตรีทขนานกับเวล์ดเควย์ 2 ข้างทางของถนนแห่งนี้ก็ยังคงมีอาคารสูง 2-4 ชั้นสไตล์โคโลเนียนให้เราเดินชม
ศาลาว่าการเมืองที่เพิ่งบูรณะใหม่สวยงาม
หลังจากเสพบรรยากาศเมืองเก่าที่มีกลิ่นอายของ “ผู้ดี” อย่างอิ่มเอมไปแล้ว ท้องของพวกเราก็เริ่มต้องการเสพอาหารบ้าง พวกขอเปลี่ยนหมวกจากสมัยวิกตอเรียน เป็นผ้าโพกหัวมุ่งหน้าสู่ “ลิตเติ้ลอินเดีย” ที่อยู่ระหว่างมาร์เก็ตสตรีทและไชน่าสตรีท !!

ใช่แล้ว ไม่มีอะไรผิดเลย ที่ไชน่าสตรีทก็พอมีคนจีนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นที่ตั้งของไชน่าทาวน์ แถมเป็นย่านแขกเสียส่วนใหญ่ สิ่งการันตีว่าที่ไหนย่านใครได้ดีที่สุดก็คือ “เทวสถาน”


ที่บริเวณนี้มีโบสถ์ฮินดูมากมาย แต่ที่โดดเด่นคือ “วัดศรีมหามาริอัมมัน” โบสถ์ฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในปีนัง สร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ภายในประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าและเทพีที่ล้วนตกแต่งด้วยทองคำ เพชร มรกต และอีกสารพัดสิ่งล้ำค่า นับเป็นศาสนาสถานที่สำคัญของชาวอินเดียบนเกาะ

ระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินบักทึกภาพ ท้องเริ่มเรียกร้องความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทริปนี้ฉันไม่ค่อยได้เตรียมการเรื่องกินมาเท่าใดนัก กะว่าร้านไหนดูน่ากินก็แวะกันไปเลย เดินชมร้านอาหารย่านอินเดียกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเราก็สะดุดเข้ากับ “ไก่ปิ้งสีแดง”
 ไก่ปิ้งสีแดงเป็นเมนูเด็ดดึงดูดใจโชว์กันตามหน้าร้านอาหารอินเดีย
“ทันดอรีชิกเก้น” คือไก่ย่างที่ทำให้ทุกคนตาวาว เป็นที่นิยมไม่น้อย เพราะกินง่ายกว่าเมนูอินเดียอื่นๆ แค่เลือกว่าต้องการกินแกล้มกับ “โรตีคาไน” (แผ่นแป้งโรตีทอดที่เราคุ้นเคยกัน) หรือกินกับ “นัน” (แป้งแผ่นหนามีงาและกระเทียมผสม) เสิร์ฟพร้อมผักและแกงกะหรี่ แต่ “โรตีคาไน” ก็เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของการท่องเที่ยวปีนัง ที่ให้กินกับแกงต่างๆ เราจึงสั่งมาลองชิมให้หายข้องใจ

แม้โรตีจะถูกจัดให้เป็นอาหารคาวไปแล้ว แต่เพื่อนร่วมทริปของเราก็ระลึกได้ว่ามีโรตีของหวานที่เป็นแบบเฉพาะของสิงคโปร์-มาเลย์ นั่นคือ “โรตีทิชชู่” โรตีที่ตีแผ่เป็นแผ่นใหญ่บาง ทอดพอสุกกรอบแล้วนำมาม้วนเป็นกรวยโรยด้วยนมและน้ำตาล เสิร์ฟกันเหมือนยกภูเขามาให้ ส่วนเราๆ ก็รุมทลายภูเขากันหนุบหนับ

ด้วยความสนุกกับของหวานเฉพาะถิ่น กลัวกลับบ้านจะไม่ได้กิน ทำให้เราพยายามตระเวนชิมโรตีทิชชู่ตามร้านอินเดียต่างๆ กระทั่งแน่นพุงกะทิ แต่ในคืนสุดท้ายเราก็ได้สังเกตว่า ข้างที่พักของเราก็มีโรตียักษ์ขาย จึงลองชิมแกล้มกับ “ชาชัก” หรือ “เตห์ตะริก” ที่แวะชิมกันทุกเบรก
ไก่ทันดอรีกับแป้งนันถูกปากดี หากไม่คุ้นกับอาหารอินเดียน
ในที่สุดเราก็ได้รู้สึกถึงคำว่า “ใกล้เกลือกินด่าง” ก็งานนี้ล่ะ ทั้งชาชักและโรตีทิชชู่ ที่ร้านข้างบ้านพักอร่อยที่สุด มิน่าล่ะเมื่อฉันถามหาแหล่งของกินกับคุณเหลนท่านเจ้าคุณ เขาถึงกับออกอาการงงๆ ทำนองว่า ถนนหน้าบ้านก็มีอาหารอลังการพวกหนูๆ จะไปกินไหนกันอีก !!

เมื่อเปิดตาดูบนถนนปีนังที่ทอดผ่านหน้าบ้าน ก็พบว่าห่างไปไม่กี่เมตรบนถนนเส้นนี้ เป็นที่รวมชีวิตยามราตรี ทั้งศูนย์อาหาร ร้านโรตี ผับบาร์ จุดนัดพบสนทนา รู้แล้วว่าท่านเจ้าคุณเลือกบ้านได้ทำเลดีสุดๆ

“เมืองของพระเจ้าจอร์จ” แม้ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยผู้คนและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ยังมีที่กินที่เที่ยวอีกมากมาย โดยเฉพาะของกินเด็ดโดนใจ ตามไปลุยกันต่อได้ในสัปดาห์หน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น