โดย : ปิ่น บุตรี
คลั่งชาติ กับ รักชาติ มันคนละเรื่องกัน
การที่กลุ่มพันธมิตรผู้รักชาติจำนวนมากเดินทางไปยังกระทรวงต่างประเทศในวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อให้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ(นพดล ปัทมะ) เปิดเผยความชัดเจนในกรณีที่กัมพูชาเสนอองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น กลับมีนักการเมืองชั้นเลวปากสุนัขบางคนบอกว่า คนพวกนี้เป็นพวก“คลั่งชาติ” แบบขาดสติ
ทั้งๆที่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นถือเป็นการแสดงออกซึ่งความ“รักชาติ”อย่างน่ายกย่องสรรเสริญ เนื่องจากพวกเขาไปอย่างมีอารยะ ไปอย่างต้องการคำตอบกับคำถามที่คาใจว่า ทำไมเจ้ากระทรวงการต่างประเทศถึงทำอะไรไม่ชอบมาพากล ชวนให้เคลือบแคลงสงสัยมากมาย
ทั้งการพยายามปกปิดแผนที่ของไทยและกัมพูชารวมถึงเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ที่เจ้ากระทรวงไม่ยอมเปิดเผยให้คนไทยรับทราบจนวินาทีสุดท้าย(แต่ก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี)
ทั้งการที่เจ้ากระทรวงออกมาบอกว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ และกัมพูชาก็กำลังจะมีการเลือกตั้งในเร็วๆนี้(การเลือกตั้งในเขมรมันเกี่ยวอะไร(วะ)กับการเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้)
ทั้งการที่เจ้ากระทรวงรีบเร่งรวบรัดเซ็นยินยอมให้กัมพูชาเสนอยูเนสโกขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่มีการทักท้วง(งานนี้แม้แต่คนในพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง รมว.เกษตรฯ ยังออกมาโวยต่อเรื่องนี้เลย)
และนั่นเป็นข้อสงสัยที่บางข้อแม้เจ้ากระทรวงจะออกมาชี้แจง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนและเกิดคำถามตามมาอีกหลายข้อ จนใครและใครบางคนตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชัดเจนว่า อาจจะเป็นเพราะเจ้ากระทรวงคนนี้มีดวงตาไม่ชัดเจนจึงพลอยทำอะไรไม่ชัดเจนตามไปด้วย
มรดกโลก มรดกร่วม
จากเดิมที่เป็นปราสาทขอมบัดเดี๋ยวเปิด บัดเดี๋ยวปิด ชื่อของเขาพระวิหารดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อทางรัฐบาลกัมพูชาพยายามยื่นเสนอยูเนสโกเพื่อขอขึ้นทะเบียนเฉพาะ ตัวปราสาทเขาพระวิหารหรือปราสาทพระวิหาร ที่อยู่ใน จ.พระวิหาร กัมพูชา ให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่
ทั้งๆที่ในปี 2547 คณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา ได้มีมติเห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ศึกษาประวัติศาสตร์ และการเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่เป็นมรดกโลกที่ครอบคลุมทั้งตัวปราสาทในกัมพูชา และองค์ประกอบอื่นๆที่ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น ปราสาทโดนตวล, สถูปคู่, สระตราว,บรรณาลัย บันไดทางขึ้นปราสาท ฯลฯ
แต่ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลกัมพูชากลับพยายามที่ยื่นจะเสนอขอขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจองค์ประกอบอื่นๆ ทำให้ไทยได้ยื่นประท้วงต่อยูเนสโกไป เนื่องจากต้องการให้เป็นมรดกโลกร่วมกัน ซึ่งผลการประท้วงยูเนสโกได้เลื่อนการพิจารณาออกไป โดยให้ 2 ประเทศ(ไทย-กัมพูชา)ไปตกลงหาข้อยุติแล้วค่อยนำเสนอที่ประชุมใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายน 2551
ทว่าความพยายามในการผลักดันให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของไทยดูจะไม่เป็นผล เพราะทางกัมพูชาไม่สนใจ แถมยังเดินหน้าสร้างถนนจาก จ.พระวิหาร และ จ.กัมปงธม ขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหาร เดินหน้าสร้างกระเช้าจากฝั่งกัมพูชาเพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาทางขึ้นจากฝั่งไทย
แต่ที่มันน่าเจ็บใจสุดๆก็คือการที่รมว.ต่างประเทศของไทยกลับไปเซ็นยินยอมต่อการขอยูเนสโกขึ้นทะเบียน(เฉพาะตัว)ปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลก
ดู ดู๊ ดู ดู มันทำ เท่านั้นยังไม่พอ หมอนี่ยังคุยขรมว่า นี่คือความสำเร็จ...ผมไม่ใช่จำเลย ผมควรเป็นพระเอกมากกว่าผู้ร้าย บ้านเมืองเราไม่สามารถบริหารด้วยข่าวลือ คนทำงานจะเสียกำลังใจ(จากมติชนรายวัน หน้า 2 : บัวแก้วแจงเขาพระวิหาร ย้ำไทยไม่เสียดินแดน)
ประทานโทษ ผมอ่านประโยคนี้แล้ว แทบจะอ้วกกก!!!! เพราะหากไปดูในรายละเอียดจะพบว่าหนึ่งในข้อตกลงที่มันเสียดแทงใจก็คือ...ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนปราสาท(เขา)พระวิหารเป็นมรดกโลกซึ่งเสนอโดยกัมพูชา(จากกรุงเทพธุรกิจ หน้า 2 : บัวแก้วแถลงผลสำเร็จ)
โอ้ นี่มันอะไรกัน(วะ) ก็ในเมื่อที่ผ่านมารัฐบาลไทย(ชุดก่อน)ได้ยื่นประท้วงต่อยูเนสโก เพื่อต้องการให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา แต่รมว.ต่างประเทศคนนี้กลับหักดิบเซ็นยินยอม(รับ)แบบเร่งรีบร้อนรนสนับสนุนกัมพูชาเฉยเลย
โดยนายเหล่ยังพยายามกล่าวอ้างสำทับว่า เรื่องนี้ คงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาไปแล้ว เขาก็เป็นเจ้าของ ดังนั้นการที่เขาจะนำปราสาทของเขาไปขึ้นทะเบียนจึงเป็นสิทธิของเขา
เรื่องนี้ทำให้ นายปองพล อดิเรกสาร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ผลิตรายการสารคดีโทรทัศน์มรดกโลก แสดงทัศนะผ่านรายการคมชัดลึก(คืนวันที่ 18 มิ.ย. ทางเนชั่นทีวี)ว่า ที่ผ่านมาหลายประเทศเคยมีปัญหาเรื่องโบราณสถานที่อยู่ก้ำกึ่งดินแดนของสองประเทศ เช่นเดียวกับไทยและกัมพูชา แต่ประเทศเหล่านั้นก็สามารถเจรจากันและขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันได้ แต่กรณีนี้เหตุใด รมว.ต่างประเทศ ของไทยจึงไม่ขอขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชา ทั้งที่หากเจรจาอย่างจริงจังน่าจะสามารถทำได้ เพราะตามระเบียบขององค์การยูเนสโกมีข้อบัญญัติไว้ ว่า การขอขึ้นทะเบียนโบราณสถานเป็นมรดกโลกนั้น ต้องได้รับความยินยอมหรือเห็นชอบจากภาคีประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตันดี.ซี.สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความเห็นในรายการเดียวกัน(คมชัดลึก)ว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่ยูเนสโกจะยอมให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ ทั้งที่องค์ประกอบไม่ครบถ้วน เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าบันไดบางส่วนที่จะขึ้นตัวเขาพระวิหารก็ตั้งอยู่ในเขตประเทศไทยด้วยซ้ำ แล้วจะขึ้นทะเบียนแต่ตัวปราสาทโดยไม่มีบันได มันจะเป็นไปได้อย่างไร
นอกจากนี้ ทูตกษิตยังตั้งข้อสังเกตว่า “มันมีเงื่อนงำอะไร อย่างที่เป็นข่าวหรือไม่ เพราะทั้งหมดไม่ใช่ข่าวที่เรากุกันขึ้นมา แต่มันเป็นข่าวที่เล็ดลอดออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศ"
เขาพระวิหารมรดกร่วมของใคร???
หลังฟังท่านทูตกษิตกล่าวในรายการคมชัดลึกแล้ว ผมอดคิดต่อไม่ได้ว่า เงื่อนงำนี้มันมีอะไร เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของใคร นึกไปนึกมาก็เริ่มประติดประต่อได้ว่า นายนพดลเคยเป็นทนายหน้าหอของอดีตนายกฯหน้าเหลี่ยมที่มีความสนิทสนมกับสมเด็จฮุนเซ็นนายกฯกัมพูชา ซึ่งมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่า นายกฯหน้าเหลี่ยมคนนี้ มีแผนลงทุนระยะยาวในเกาะกงของกัมพูชา โดยทางรัฐบาลกัมพูชาเองก็พยายามที่จะแก้กฎหมายเพื่อเปิดทางให้ “ทุนต่างชาติ” เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นเวลา 99 ปี ตามโมเดลเกาะฮ่องกง
เรื่องนี้ผมไม่ได้โม้แบบสมรักษ์ คำสิงห์นะครับ หลักฐานมีชัดเจน จากข่าวแฉครม.อัปยศขายชาติที่ปรากฏในหน้า 4 ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 19 มิ.ย.51(หัวข้อข่าว”นพดล” โวควรได้ดอกไม้ไม่ใช่ก้อนหิน) ที่ระบุว่า นายนพดล กล่าวว่า ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้จักกับฮุนเซ็น ผู้นำกัมพูชา และเป็นเพื่อนรักกันมานาน ไม่อยากประเมินความรักจะแปรมาเป็นความร่วมมือแค่ไหน แต่คิดว่าสองฝ่ายคงมีประโยชน์ร่วมกัน
เท่านั้นยังไม่พอ จิ๊กซอว์เรื่องนี้ยังปรากฏให้เห็นอีก เมื่อผมอ่านแถลงการณ์ของสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง“ปราสาทเขาพระวิหาร” (18 มิ.ย. 51) ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า...คณะวิจัยยังเห็นว่า เรื่องนี้เป็นความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง โดยมีเรื่องการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นสื่อบังหน้า...
ครับ กับจิ๊กซอว์ที่ต่อเป็นภาพเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆนั้น ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญอย่างร้ายกาจ มันก็เป็นการขอมรดกโลกที่เอื้อมรดกร่วมให้กับใครบางคนอย่างชั่วช้าร้ายกาจเช่นกัน
แถมยังเป็นการสร้างความสะเทือนใจต่อพี่น้องชาวไทยในกรณีเขาพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต่างจากการเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาในปี พ.ศ.2505
***********************************************
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยหลังจากนั้นฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ แล้วนายนพดล ปัทมะ ได้ชี้แจงกลับไป ซึ่งผลการชี้แจงชัดเจนหรือไม่ชัดเจน เป็นจริงหรือเท็จ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณในการรับฟังของแต่ละคน
คลั่งชาติ กับ รักชาติ มันคนละเรื่องกัน
การที่กลุ่มพันธมิตรผู้รักชาติจำนวนมากเดินทางไปยังกระทรวงต่างประเทศในวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อให้ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ(นพดล ปัทมะ) เปิดเผยความชัดเจนในกรณีที่กัมพูชาเสนอองค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น กลับมีนักการเมืองชั้นเลวปากสุนัขบางคนบอกว่า คนพวกนี้เป็นพวก“คลั่งชาติ” แบบขาดสติ
ทั้งๆที่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นถือเป็นการแสดงออกซึ่งความ“รักชาติ”อย่างน่ายกย่องสรรเสริญ เนื่องจากพวกเขาไปอย่างมีอารยะ ไปอย่างต้องการคำตอบกับคำถามที่คาใจว่า ทำไมเจ้ากระทรวงการต่างประเทศถึงทำอะไรไม่ชอบมาพากล ชวนให้เคลือบแคลงสงสัยมากมาย
ทั้งการพยายามปกปิดแผนที่ของไทยและกัมพูชารวมถึงเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ที่เจ้ากระทรวงไม่ยอมเปิดเผยให้คนไทยรับทราบจนวินาทีสุดท้าย(แต่ก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี)
ทั้งการที่เจ้ากระทรวงออกมาบอกว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ และกัมพูชาก็กำลังจะมีการเลือกตั้งในเร็วๆนี้(การเลือกตั้งในเขมรมันเกี่ยวอะไร(วะ)กับการเปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้)
ทั้งการที่เจ้ากระทรวงรีบเร่งรวบรัดเซ็นยินยอมให้กัมพูชาเสนอยูเนสโกขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่มีการทักท้วง(งานนี้แม้แต่คนในพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง รมว.เกษตรฯ ยังออกมาโวยต่อเรื่องนี้เลย)
และนั่นเป็นข้อสงสัยที่บางข้อแม้เจ้ากระทรวงจะออกมาชี้แจง แต่ก็ยังไม่ชัดเจนและเกิดคำถามตามมาอีกหลายข้อ จนใครและใครบางคนตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชัดเจนว่า อาจจะเป็นเพราะเจ้ากระทรวงคนนี้มีดวงตาไม่ชัดเจนจึงพลอยทำอะไรไม่ชัดเจนตามไปด้วย
มรดกโลก มรดกร่วม
จากเดิมที่เป็นปราสาทขอมบัดเดี๋ยวเปิด บัดเดี๋ยวปิด ชื่อของเขาพระวิหารดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อทางรัฐบาลกัมพูชาพยายามยื่นเสนอยูเนสโกเพื่อขอขึ้นทะเบียนเฉพาะ ตัวปราสาทเขาพระวิหารหรือปราสาทพระวิหาร ที่อยู่ใน จ.พระวิหาร กัมพูชา ให้เป็นมรดกโลกแห่งใหม่
ทั้งๆที่ในปี 2547 คณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา ได้มีมติเห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหารเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ศึกษาประวัติศาสตร์ และการเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่เป็นมรดกโลกที่ครอบคลุมทั้งตัวปราสาทในกัมพูชา และองค์ประกอบอื่นๆที่ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น ปราสาทโดนตวล, สถูปคู่, สระตราว,บรรณาลัย บันไดทางขึ้นปราสาท ฯลฯ
แต่ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลกัมพูชากลับพยายามที่ยื่นจะเสนอขอขึ้นทะเบียนตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจองค์ประกอบอื่นๆ ทำให้ไทยได้ยื่นประท้วงต่อยูเนสโกไป เนื่องจากต้องการให้เป็นมรดกโลกร่วมกัน ซึ่งผลการประท้วงยูเนสโกได้เลื่อนการพิจารณาออกไป โดยให้ 2 ประเทศ(ไทย-กัมพูชา)ไปตกลงหาข้อยุติแล้วค่อยนำเสนอที่ประชุมใหม่ในช่วงเดือนมิถุนายน 2551
ทว่าความพยายามในการผลักดันให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของไทยดูจะไม่เป็นผล เพราะทางกัมพูชาไม่สนใจ แถมยังเดินหน้าสร้างถนนจาก จ.พระวิหาร และ จ.กัมปงธม ขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหาร เดินหน้าสร้างกระเช้าจากฝั่งกัมพูชาเพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งพาทางขึ้นจากฝั่งไทย
แต่ที่มันน่าเจ็บใจสุดๆก็คือการที่รมว.ต่างประเทศของไทยกลับไปเซ็นยินยอมต่อการขอยูเนสโกขึ้นทะเบียน(เฉพาะตัว)ปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลก
ดู ดู๊ ดู ดู มันทำ เท่านั้นยังไม่พอ หมอนี่ยังคุยขรมว่า นี่คือความสำเร็จ...ผมไม่ใช่จำเลย ผมควรเป็นพระเอกมากกว่าผู้ร้าย บ้านเมืองเราไม่สามารถบริหารด้วยข่าวลือ คนทำงานจะเสียกำลังใจ(จากมติชนรายวัน หน้า 2 : บัวแก้วแจงเขาพระวิหาร ย้ำไทยไม่เสียดินแดน)
ประทานโทษ ผมอ่านประโยคนี้แล้ว แทบจะอ้วกกก!!!! เพราะหากไปดูในรายละเอียดจะพบว่าหนึ่งในข้อตกลงที่มันเสียดแทงใจก็คือ...ไทยจะสนับสนุนการขอขึ้นทะเบียนปราสาท(เขา)พระวิหารเป็นมรดกโลกซึ่งเสนอโดยกัมพูชา(จากกรุงเทพธุรกิจ หน้า 2 : บัวแก้วแถลงผลสำเร็จ)
โอ้ นี่มันอะไรกัน(วะ) ก็ในเมื่อที่ผ่านมารัฐบาลไทย(ชุดก่อน)ได้ยื่นประท้วงต่อยูเนสโก เพื่อต้องการให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา แต่รมว.ต่างประเทศคนนี้กลับหักดิบเซ็นยินยอม(รับ)แบบเร่งรีบร้อนรนสนับสนุนกัมพูชาเฉยเลย
โดยนายเหล่ยังพยายามกล่าวอ้างสำทับว่า เรื่องนี้ คงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาไปแล้ว เขาก็เป็นเจ้าของ ดังนั้นการที่เขาจะนำปราสาทของเขาไปขึ้นทะเบียนจึงเป็นสิทธิของเขา
เรื่องนี้ทำให้ นายปองพล อดิเรกสาร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ผลิตรายการสารคดีโทรทัศน์มรดกโลก แสดงทัศนะผ่านรายการคมชัดลึก(คืนวันที่ 18 มิ.ย. ทางเนชั่นทีวี)ว่า ที่ผ่านมาหลายประเทศเคยมีปัญหาเรื่องโบราณสถานที่อยู่ก้ำกึ่งดินแดนของสองประเทศ เช่นเดียวกับไทยและกัมพูชา แต่ประเทศเหล่านั้นก็สามารถเจรจากันและขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกันได้ แต่กรณีนี้เหตุใด รมว.ต่างประเทศ ของไทยจึงไม่ขอขึ้นทะเบียนร่วมกับกัมพูชา ทั้งที่หากเจรจาอย่างจริงจังน่าจะสามารถทำได้ เพราะตามระเบียบขององค์การยูเนสโกมีข้อบัญญัติไว้ ว่า การขอขึ้นทะเบียนโบราณสถานเป็นมรดกโลกนั้น ต้องได้รับความยินยอมหรือเห็นชอบจากภาคีประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
ในขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตันดี.ซี.สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความเห็นในรายการเดียวกัน(คมชัดลึก)ว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่ยูเนสโกจะยอมให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ ทั้งที่องค์ประกอบไม่ครบถ้วน เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าบันไดบางส่วนที่จะขึ้นตัวเขาพระวิหารก็ตั้งอยู่ในเขตประเทศไทยด้วยซ้ำ แล้วจะขึ้นทะเบียนแต่ตัวปราสาทโดยไม่มีบันได มันจะเป็นไปได้อย่างไร
นอกจากนี้ ทูตกษิตยังตั้งข้อสังเกตว่า “มันมีเงื่อนงำอะไร อย่างที่เป็นข่าวหรือไม่ เพราะทั้งหมดไม่ใช่ข่าวที่เรากุกันขึ้นมา แต่มันเป็นข่าวที่เล็ดลอดออกมาจากกระทรวงการต่างประเทศ"
เขาพระวิหารมรดกร่วมของใคร???
หลังฟังท่านทูตกษิตกล่าวในรายการคมชัดลึกแล้ว ผมอดคิดต่อไม่ได้ว่า เงื่อนงำนี้มันมีอะไร เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของใคร นึกไปนึกมาก็เริ่มประติดประต่อได้ว่า นายนพดลเคยเป็นทนายหน้าหอของอดีตนายกฯหน้าเหลี่ยมที่มีความสนิทสนมกับสมเด็จฮุนเซ็นนายกฯกัมพูชา ซึ่งมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่า นายกฯหน้าเหลี่ยมคนนี้ มีแผนลงทุนระยะยาวในเกาะกงของกัมพูชา โดยทางรัฐบาลกัมพูชาเองก็พยายามที่จะแก้กฎหมายเพื่อเปิดทางให้ “ทุนต่างชาติ” เข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นเวลา 99 ปี ตามโมเดลเกาะฮ่องกง
เรื่องนี้ผมไม่ได้โม้แบบสมรักษ์ คำสิงห์นะครับ หลักฐานมีชัดเจน จากข่าวแฉครม.อัปยศขายชาติที่ปรากฏในหน้า 4 ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 19 มิ.ย.51(หัวข้อข่าว”นพดล” โวควรได้ดอกไม้ไม่ใช่ก้อนหิน) ที่ระบุว่า นายนพดล กล่าวว่า ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ รู้จักกับฮุนเซ็น ผู้นำกัมพูชา และเป็นเพื่อนรักกันมานาน ไม่อยากประเมินความรักจะแปรมาเป็นความร่วมมือแค่ไหน แต่คิดว่าสองฝ่ายคงมีประโยชน์ร่วมกัน
เท่านั้นยังไม่พอ จิ๊กซอว์เรื่องนี้ยังปรากฏให้เห็นอีก เมื่อผมอ่านแถลงการณ์ของสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง“ปราสาทเขาพระวิหาร” (18 มิ.ย. 51) ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งระบุว่า...คณะวิจัยยังเห็นว่า เรื่องนี้เป็นความต้องการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลของไทย เพื่อหวังผลประโยชน์ทับซ้อนของกลุ่มการเมือง โดยมีเรื่องการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นสื่อบังหน้า...
ครับ กับจิ๊กซอว์ที่ต่อเป็นภาพเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆนั้น ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญอย่างร้ายกาจ มันก็เป็นการขอมรดกโลกที่เอื้อมรดกร่วมให้กับใครบางคนอย่างชั่วช้าร้ายกาจเช่นกัน
แถมยังเป็นการสร้างความสะเทือนใจต่อพี่น้องชาวไทยในกรณีเขาพระวิหารอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต่างจากการเสียปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาในปี พ.ศ.2505
***********************************************
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยหลังจากนั้นฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ แล้วนายนพดล ปัทมะ ได้ชี้แจงกลับไป ซึ่งผลการชี้แจงชัดเจนหรือไม่ชัดเจน เป็นจริงหรือเท็จ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณในการรับฟังของแต่ละคน