ส.ส.ประชาธิปัตย์ “ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ” ไม่อยากเชื่อ! ใครจะกล้าเอาที่ดินเขาพระวิหาร ไปแลกกับสัมปทานด้านพลังงาน แนะ การเจรจาขอดูแลผลประโยชน์ร่วมกันต้องรอบคอบ เหตุ “เขมร” ยังกลัวถูกไทยหลอกซ้ำ-ด้านนักโบราณคดีหนุน 2 ประเทศ บริหารร่วมกันจะเกิดประโยชน์สูงสุดหวั่น แนวคิดทำกระเช้าขึ้นพระวิหาร ทำโบราณสถานหมดค่า
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการคมชัดลึก
ต่อกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ประเทศไทยกำลังจะผ่อนปรนเรื่องเขาพระวิหาร ยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว เพื่อแลกกับผลประโยชน์ในเรื่องแก๊สและน้ำมันในอ่าวไทย นั้นวานนี้ (14 พ.ค.) นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนนัล เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริง และตนยืนยันว่า ไม่มีรัฐมนตรีคนใด หรือรัฐบาลสมัยใดเอาแผ่นดิน แม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปแลกผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในเรื่องนี้ทางรัฐบาลไทยมีท่าทีชัดเจนมาแต่แรกแล้ว ว่าทางไทยสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารในส่วนที่เป็นตัวปราสาท แต่พื้นที่ทับซ้อนซึ่งเป็นช่วงคาบต่อของอาณาเขต เราได้ขอว่าจะต้องให้มีการบริหารพัฒนาพื้นที่ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ
ในส่วนของความคืบหน้าเรื่องนี้ หลังจากที่ตนได้ร่วมพิธีเปิดถนนที่ จ.เกาะกง ในกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้มีโอกาสหารือนอกรอบกับ นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถึงกรณีพื้นที่เขาพระวิหารไปแล้ว ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะคลี่คลายไปในทางที่ดี และน่าจะหาทางออกร่วมกันได้ โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใดๆ และคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้ การเจรจาเรื่องเขาพระวิหารก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ด้าน นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ สส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องของการขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารนั้น ต้องมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน อยู่แล้วแต่เรื่องของการเอาพื้นที่ทับซ้อนไปยื่นเป็นข้อเสนอเพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านนำมันและก๊าซธรรมชาตินั้น ตนคิดว่า คงไม่เป็นความจริง เพราะหากเป็นอย่างนั้นจริงหน่วยทหารที่อยู่บริเวณนั้นคงรู้และไม่ยอมแน่ ซึ่งกระแสข่าวที่เกิดนั้นอาจเกิดจากการปะติดปะต่อเรื่องราวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปเยือนกัมพูชา ทำให้คิดได้ว่าอาจมีการเดินทางไปเจรจาตกลงกัน แต่โดยส่วนตัวแล้วตนคิดว่าหากจะทำเช่นนั้นจริงคงเป็นเรื่องยาก
ส่วนการดำเนินการที่ทางกระทรวงต่างประเทศตั้งเป้าไว้ว่าจะเจรจา ขอให้มีการร่วมบริหารจัดการร่วมกันนั้น ตนคิดว่าหากเจรจาตกลงกันได้ ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ตนก็คงไม่คิดตำหนิเพราะคิดว่าน่าจะเป็นแนวทางที่ดีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามตนคิดว่าตอนนี้ทางรัฐบาลควรมีการตั้ง คณะกรรมการสามัญขึ้นมาร่วมทำงานด้วย เพื่อความโปร่งใส และการบริหารงานได้ดียิ่งขึ้น
“ตอนนี้ประเทศไทยเกือบจะไม่มีความโปร่งใสเลย ไม่มีกรรมาธิการสามัญที่สามารถทำงานได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงใด เมื่อเรียกเจ้าหน้าที่มาถามอะไรก็ไม่ได้ เพราะถึงจะเป็น ส.ส.จริง แต่ก็ไม่มีอำนาจที่จะตรวจสอบใดทั้งสิ้น เพราะไม่มีกรรมาธิการที่จะไปตรวจสอบเรื่องต่างๆ ก็เลยเดาเอา เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องบางทีก็เป็นเรื่องขึ้นมา เพราะเราไม่รู้ข้อเท็จจริง ไม่สามารถถามข้าราชการประจำได้เลยเพราะเขาไม่กล้าตอบ ต้องมาถามที่สภาถึงจะตรวจสอบได้ ซึ่งนี่เป็นปัญหาหนึ่ง”
นายไกรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม เราต้องตระหนักว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมรมีมาอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่พบได้ว่ามีคนของประเทศไทยเคยเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ทางธุรกิจจากเขมร ซึ่งทางเขมรก็จดจำและยังมีความหวาดระแวงว่าจะถูกเอาเปรียบอีกหรือไม่ ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อเราจะดำเนินการต่อรองให้จดทะเบียนเขาพระวิหารร่วมกันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ต้องใช้ความระมัดระวังในการเจรจาเป็นอย่างมาก
ด้าน รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี กล่าวว่า เรื่องของเขาพระวิหารนั้น หากมีการตกลงขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารแบบจัดการร่วมกัน เป็นเจ้าของมรดกนี้ร่วมกัน ก็จะเป็นผลดีของทั้งสองฝ่าย เพราะการที่โบราณสถานจะสมบูรณ์จะต้องมีองค์ประกอบโดยรวมอย่างครบถ้วน หากกัมพูชาได้เฉพาะตัวปราสาทไปก็ถือว่าแทบไม่มีประโยชน์ เพราะทางกัมพูชาไม่มีทางขึ้น และหากทำเป็นกระเช้าขึ้นไปอย่างที่เริ่มมีความคิดกันนั้น ก็จะเสียภาพลักษณ์ของความเป็นโบราณสถานที่สมบูรณ์ไป อีกทั้งในฝั่งของไทยก็มีโบราณสถานอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบที่จะทำให้ปราสาทเขาพระวิหารมีความสมบูรณ์ดังนั้นการจัดการร่วมกันจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะผลประโยชน์จะอยู่กับคนท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ แต่หากยังดูแลแยกกัน ผลประโยชน์ก็จะถูกกอบโกยไปโดยธุรกิจ ข้ามชาติที่จะมารับบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งตนเชื่อว่าจะมีแน่นอน
