xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” เถียงคอเป็นเอ็น ยันไม่ตั้ง ส.ส.ร.อ้างเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จตุพร” อดีตหัวโจก “ม็อบไข่แม้ว” ที่ได้ดิบได้ดีเป็น ส.ส.ยืนกระต่ายขาเดียว “พลังแม้ว” ไม่ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาร่าง รธน.แน่ ตีฝีปาก เชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว เพราะทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ ด้าน “องอาจ” ยันเหตุผลแก้ รธน.ของรัฐบาลฟังไม่ขึ้น ฝ่ายค้านไม่ร่วมสังฆกรรมแน่ “โสภณ เพชรสว่าง” คณะทำงานเพื่อแผ่นดิน เตือนหากรีบแก้ รธน.ไม่รับฟังความเห็นรอบด้าน เกิดกลียุคแน่!


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการคมชัดลึก

วานนี้ (22 เม.ย) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางเนชั่นแชนนัล ดำเนินรายการโดน นางสาวจอมขวัญ หลาวเพชร ว่า เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีบางคน กล่าวว่า ควรจะแก้เรื่องปากท้องของประชาชนก่อนจะดีกว่านั้น ตนมองว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศก็ทำไป ส่วนการแก้ไข รธน.ก็ทำไป เพราะทั้งสองส่วนสามารถดำเนินร่วมกันไปได้ ส่วนที่ต้องมีการแก้ไขกันตอนนี้ เพราะเห็นได้ว่า รธน.ฉบับนี้ ยิ่งใช้ไปแต่ละวัน ก็มีปัญหาเกิดขึ้นให้เห็นทุกวัน แต่ละมาตรา เช่น 237 นั้นเป็นกระบวนการที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม และทุกพรรคการเมือง ก็มีความกลัวในกฎหมายข้อนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็เช่นกันถ้าไม่กลัวเรื่องดังกล่าว ก็คงไม่ตัดกรรมการบริหารพรรคเหลือ 19 คน อีกหน่อยอาจจะลดลงเหลือ 9 คนด้วยซ้ำ

ต่อคำถามที่ว่า หากมีการแก้มาตรา 237 จะส่งผลต่อการยุบพรรคหรือไม่นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตอนนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน จากวิปรัฐบาลในเรื่องนี้ แต่โดยส่วนตัวตนคิดว่าหากแก้มาตรานี้ หากจะมีผลย้อนหลัง ก็ต้องเป็นผลย้อนหลังที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ

นายจตุพร กล่าวต่อว่า แนวทางในการแก้ไข รธน.ครั้งนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว ว่า จะเป็นการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาแก้ไข แน่นอนแล้วไม่ได้เป็นการโยนหินถามทาง ส่วนสาเหตุที่ไม่มีการตั้ง ส.ส.ร.ตามข้อเสนอของหลายฝ่ายนั้น เป็นเพราะว่า คำว่า ส.ส.ร.นั้นมันไม่ได้เป็นสิ่งที่มั่นคงและดีงามเสมอไป เพราะวันที่ ส.ส.ร.ร่าง รธน.ปี 40 เขาให้ร่างแบบประชาธิปไตย ก็ร่างเป็นแบบประชาธิปไตย แต่วันที่เผด็จการให้ร่าง ก็ร่าง รธน.เป็นแบบเผด็จการ

“ผมถึงบอกว่าวันนี้มันฝากกับคำว่า ส.ส.ร.ไม่ได้ เพราะฉะนั้น รธน.ปี 50 มาตรา 291 เค้าก็บัญญัติไว้แล้วว่าให้ ส.ส., ส.ว.และคณะรัฐมนตรีเป็นผู้แก้ เราก็ควรทำไปตามนี้ ถึงแม้ผมจะไม่ยอมรับ รธน.ปี 50 แต่ในเมื่อเค้ามีช่องให้แก้ ก็ต้องแก้ตามนี้ และผมไม่ต้องการถูกมัดมือชก เพราะหากมี ส.ส.ร.ซึ่งบางครั้ง ส.ส.ก็ต้องอ้าปากค้าง ยอมรับ แม้จะเห็นด้วยในบางมาตรา แต่ก็ต้องรับมาแบบเหมาเข่ง คือรับมาทุกมาตรา”

“ขอสรุปการแก้ไข รธน.ครั้งนี้ไว้ว่า เป็นการแก้ไข รธน.ที่เป็นเผด็จการให้เป็นประชาธิปไตย นั่นคือ เป้าหมายหลัก แต่ผลของมันก็ถือเป็นอานิสงส์ที่ได้รับจากการแก้ เพราะเมื่อ รธน.ทั้งฉบับมันรับใช้ความเป็นเผด็จการ มันไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย จึงเป็นหน้าที่ของคนที่มาจากการเลือกตั้ง ต้องทำให้มันเป็นประชาธิปไตย” นายจตุพร กล่าว

ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จนถึงตอนนี้เหตุผลในการแก้ รธน.ของรัฐบาลก็ยังฟังไม่ขึ้น เพราะจะเห็นได้จากเจตนา เริ่มต้นที่คิดจะแก้ รธน.ซึ่งตอนแรกบอกว่าจะแก้ เพียงมาตรา 237 จากนั้นก็มาที่มาตรา 309 แต่พอเห็นว่าเริ่มมีการต่อต้านจากหลายฝ่าย จึงเบี่ยงเบนประเด็นเป็นการแก้ทั้งฉบับ อีกทั้งคำพูดของนายสมัครที่บอกว่าหากไม่มีการแก้ รธน.มีปัญหายุบพรรค ก็จะยุบสภา นั้น ก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นการแก้ รธน.เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ของกลุ่มตัวเอง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังยืนยันว่า จะไม่เข้าไปร่วมแก้ รธน.ในครั้งนี้ เนื่องจากเราเห็นว่ายังไม่สมควรจะแก้ รธน.ในเวลานี้ น่าจะมีการใช้ไประยะหนึ่งก่อนเพื่อที่จะได้ว่า รธน.มีข้อติดขัดอะไรบ้าง และยิ่งไปกว่านั้น การแก้บางมาตราแล้วอาจมองได้ว่าเป็นวาะซ่อนเร้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะตอนนี้บ้านเมืองเราก็มีปัญหามากแล้ว ไม่น่าที่จะเงื่อนไขให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก

ส่วนกรณีที่ นายจตุพร กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ กลัวกรรมการบริหารพรรคทำผิดแล้วจะถูกยุบพรรค จนต้องมีการลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะสาเหตุที่ปรับลดจำนวนกรรมการบริหารพรรคของพรรคประชาธิปัตย์ ก็เพื่อให้การบริหารงานคล่องตัวมากขึ้น และปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวน แต่อยู่ที่พฤติกรรมของคณะกรรมการบริหารพรรคนั้นๆ ต่างหาก ว่า ทุจริตเลือกตั้งหรือไม่ เพราะถึงมีกรรมการบริหารพรรคแค่ 2 คน แต่ทำผิดก็ต้องถูกยุบพรรคอยู่ดี

ด้าน นายโสภณ เพชรสว่าง คณะทำงานการเมืองพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า การที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการแก้ รธน.ว่า ตอนนี้รัฐบาลควรจะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนนั้น คงไม่ได้หมายความว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข รธน.แต่เป็นเพราะเห็นว่าปัญหาปากท้องเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขจริงๆ ส่วนเรื่องของการแก้ไข รธน.นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ควรทำอย่างรอบคอบ ซึ่งโดยส่วนตัวตนมองว่าควรแก้ แต่แก้เพียงบางส่วน เช่น มาตรา 237 นั้น ตนเห็นว่า หากคณะกรรมการบริหารพรรคคนเดียวกระทำความผิดแล้วต้องยุบพรรคนั้นเป็นมาตรการที่รุนแรงเกินไป แต่หากจะไม่เอาผิดเลยมันก็น่าเกลียด ตนจึงเห็นว่า น่าจะมีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญ ขึ้นมาจากบุคคลหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ รวมไปถึงกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อที่จะร่วมกันคิดหาวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย และตนยังมองด้วยว่าหากการแก้ไข รธน.ครั้งนี้ ไม่มีการรอมชอมกัน จะเกิดกลียุค แต่หากแก้ไขโดยให้ทุกฝ่ายมาร่วมมือกันรัฐบาลจะอยู่ได้นาน

นายโสภณ เสนอว่า หากแก้มาตรา 237 แล้วควรเขียนบทเฉพาะกาลไปด้วยว่า จะต้องไม่มีผลย้อนหลังกับการตัดสินยุบพรรคที่ผ่านมา ซึ่งความคิดเห็นที่ตนกล่าวนี้ ตนกล่าวในฐานะของ กรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งได้มีพูดคุยกับคนในพรรคมาแล้ว ว่าทางพรรคของเรายืนยันว่าตอนนี้ก็ไม่ได้คัดค้านที่จะมีการแก้ รธน.แต่ควรแก้อย่างรอบคอบ ไม่รีบเร่ง

ด้าน นายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย กล่าวว่า ในส่วนของพรรคชาติไทย มองว่า หลายส่วนของ รธน.ฉบับนี้มีปัญหาต้องแก้ไข เช่น มาตรา 237 ที่เป็นมาตราที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง ความผิดของคนๆ เดียวไม่น่าจะเอามาเป็นความผิดของพรรคการเมืองทั้งพรรค มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พรรคชาติไทยคิดจะแก้เพราะกลัวเกิดคดียุบพรรค เพราะกระบวนการตัดสินยุบพรรคนั้น ทางพรรคชาติไทยก็ดำเนินการต่อสู้ต่อไป แต่เราก็มีสิทธิ์จะแสดงความคิดเห็นได้ว่าเราไม่เห็นด้วยกับมาตรานี้




กำลังโหลดความคิดเห็น